Skip to main content

หน้าหลัก

ระบบประกันสังคมของเยอรมนี

ข่าวแรงงาน ลำดับที่ 35 /2558 

ระบบประกันสังคมของเยอรมนี

บทที่ 1

สิทธิประโยชน์สำหรับบุตร  สิทธิประโยชน์สำหรับบิดามารดา การลาหยุดเพื่อเลี้ยงดูบุตร 

เงินช่วยเหลือสำหรับเลี้ยงดูบุตร และเงินเสริมสำหรับบุตร

1.1   สิทธิประโยชน์สำหรับบุตร

ผู้ที่มีบุตรในเยอรมนีรวมถึงคนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานถาวร หรือชั่วคราว หรือได้รับใบอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานเป็นกรณีเฉพาะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรได้  และสำหรับบางกรณีมารดาหรือบิดาที่ต้องอาศัยอยู่ในต่างประเทศในช่วงเวลาหนึ่งเนื่องจากลักษณะงาน ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรด้วยเช่นกัน (ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด) แม้ว่ารัฐจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้เฉพาะบุตรที่อาศัยอยู่ในเยอรมนี ในประเทศสมาชิกอียู หรือในสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งนี้ บุตรแต่ละคนจะมีผู้ขอรับสิทธิประโยชน์เพียงผู้เดียว ดังนั้น บิดามารดาสามารถเลือกว่าใครจะเป็นผู้รับสิทธิประโยชน์สำหรับเด็กที่อยู่ในครัวเรือน

หากบิดามารดาแยกทางหรือหย่าร้างกัน รัฐจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ที่บุตรอยู่ด้วย ในกรณีที่บุตรมิได้อยู่กับบิดามารดา รัฐจะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ที่เด็กอยู่ด้วย เช่น ปู่ย่าตายาย หรือผู้ที่ดูแลบุตรนั้น

เด็กที่มิได้เป็นบุตรของผู้ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ แต่อยู่ในข่ายที่ผู้ปกครองสามารถยื่นขอรับสิทธิได้มีดังนี้

  • บุตรของคู่สมรส หากบุตรนั้นอยู่ที่บ้านผู้ขอรับสิทธิ
  • บุตรบุญธรรม ที่พักอยู่ที่บ้านของผู้ขอรับสิทธิและเป็นสมาชิกระยะยาวในครอบครัว และบิดามารดาที่แท้จริงไม่ได้ดูแลบุตรบุญธรรมรายนั้นแล้ว
  • หลาน หากผู้ขอรับสิทธิรับหลานมาไว้ที่บ้าน และหากมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ก็สามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรได้ 

ในบางกรณีจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรที่มีอายุเกิน 18 ปีได้ และจำกัดอายุของบุตรที่ผู้ปกครองจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ไว้ที่ 25 ปี ดังกรณีต่อไปนี้

  • ผู้อยู่ในระบบการศึกษาหรือฝึกอบรม โดยปกติสามารถขอรับสิทธิสำหรับบุตรอายุ 18 ปี หรือมากกว่าที่อยู่ในระบบการศึกษาหรือฝึกอบรมจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาบัตรหรือวุฒิด้านอาชีวศึกษาใบแรก และยังสามารถเรียกรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรที่ยังรับการฝึกอบรมและไม่ได้ทำงานที่เกินกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และช่วงพักสั้นๆ ระหว่างการฝึกอบรมนั้นให้ถือเป็นการฝึกอบรมด้วย
  • ผู้ที่ทำงานอาสาสมัครชุมชนหรือการบริการเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ พรบ. Youth Voluntary Service Act การบริการอาสาสมัครใน the EU Youth Action Programme การบริการอื่นๆ ในต่างประเทศภายใต้มาตราที่ 5 ของ the Federal Voluntary Service Act
  • ผู้ที่ไม่สามารถเริ่มหรือฝึกอบรมอาชีพอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่มีสถานที่ฝึกอบรม
  • จะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรได้จนถึงอายุ 21 ปีหากไม่มีงานทำหรือลงทะเบียนเป็นผู้หางานกับสำนักงานจัดหางาน

ในบางกรณี ผู้ปกครองสามารถยังคงขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรได้แม้เมื่อมีอายุเกิน 25 ปี 

รัฐจะยังจ่ายสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรให้กับบุตรชายอายุเกิน 25 ปีซึ่งยังคงศึกษาหรือฝึกอบรมและได้ผ่าน การรับราชการทหารหรือรับราชการพลเรือนขั้นพื้นฐานแล้ว โดยจะเพิ่มตามระยะการรับราชการขั้นพื้นฐานนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองที่บุตรเข้ารับราชการทหารเป็นเวลา 9 เดือนสามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรจนกระทั่งบุตรอายุ 25 ปี 9 เดือน

ผู้ปกครองสามารถขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรที่พิการที่มีอายุเกิน 25 ปีได้ หากบุตรรายนั้นเป็นผู้พิการก่อนอายุ 25 ปี และไม่สามารถดูแลตัวเองได้

เด็กกำพร้าจะได้รับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรเดือนละ 184 ยูโรต่อเดือน หากไม่มีคนขอรับเงินสิทธิประโยชน์ให้กับเด็กรายนั้น และสำหรับเด็กที่ไม่ทราบว่าบิดามารดาของตนอยู่ที่ใดก็จะได้รับเงินในจำนวนนี้ด้วยเช่นกัน

เบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีประเภทต่างๆ 

หากเงินสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรที่จ่ายยังไม่ถึงระดับเงินเพื่อการดำรงชีพสำหรับเด็กที่ไม่ต้องจ่ายภาษี ก็จะหัก เบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีสำหรับบุตร (4,368 ยูโรต่อปี) และเบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตร และการฝึกอบรมวิชาชีพ (2,640 ยูโรต่อปี) จากรายได้ที่ต้องเสียภาษีของบิดามารดา การลดหย่อนภาษีจากเบี้ยเลี้ยงเหล่านี้จะลดลงจากจำนวนเงินสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรที่จ่ายออกไป ไม่ว่าเงินที่ลดหย่อนภาษีทั้งหมดจะมียอดที่กฎหมายระบุว่าต้องมีการประเมินภาษีเงินได้หรือไม่ก็ตาม

เบี้ยเลี้ยงสำหรับบุตรจะจ่ายต่อเดือนในลักษณะดังนี้

  • บุตรสองคนแรก คนละ 184 ยูโร
  • บุตรคนที่สาม 190 ยูโร
  • บุตรคนที่ 4 และคนถัดไป คนละ 215 ยูโร

เบี้ยเลี้ยงสำหรับบุตรจะจ่ายให้กับเด็กทุกคนโดยไม่คำนึงถึงรายได้ของบิดามารดา และยังมีระบบลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัว โดยสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรจะเป็นในรูปของการคืนเงินภาษี เบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีสำหรับบุตร และเบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีเพื่อการดูแลบุตร การเลี้ยงดูบุตร และการฝึกอบรมวิชาชีพ โดยมีการจ่ายเงินสำหรับบุตรตลอดทั้งปี  และเมื่อมีการประเมินภาษีเงินได้ สำนักงานสรรพากรก็จะตรวจสอบว่าจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่บุตรนั้นเพียงพอกับภาษีที่บิดามารดานั้นต้องจ่ายหรือไม่ หากไม่เพียงพอ ใบเรียกเก็บภาษีก็จะนำเบี้ยเลี้ยงปลอดภาษีสำหรับบุตร เบี้ยเลี้ยงในการดูแลบุตร เบี้ยเลี้ยงในการเลี้ยงดูบุตร และเบี้ยเลี้ยงการฝึกอบรมวิชาชีพมาหักลดเพิ่มเติมจากเงินสำหรับบุตรที่ได้รับไปแล้ว โดยจะคงให้เงินสำหรับบุตรต่อไปหากเป็นประโยชน์ต่อบิดามารดา

สิทธิประโยชน์เสริมสำหรับบุตร

ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ซึ่งได้สร้างหรือซื้อบ้านของตนเองสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เสริมได้จนถึง 8 ปีเพิ่มเติมจากเงินสิทธิประโยชน์ปกติ  ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมให้มีบ้านเป็นของตนเอง โดยเจ้าบ้านที่ได้เซ็นสัญญาซื้อบ้านหรือเริ่มสร้างบ้านก่อนวันที่ 1 มกราคม 2547 จะได้รับเงินปีละ 767 ยูโรต่อบุตร 1 คน ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ที่ได้ซื้อบ้านหรือเริ่มสร้างบ้านในช่วงนั้นแต่ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2548 จะได้รับ 800 ยูโร และจะไม่มีการจ่ายเงินช่วยสำหรับบุตรให้แก่ผู้สร้างหรือซื้อบ้านของตนเองอีกต่อไป เพราะได้มีการยกเลิกเงินช่วยให้ซื้อบ้านเป็นของตนเองตั้งแต่ 1 มกราคม 2549 แต่สำหรับผู้ที่ได้รับเงินช่วยอยู่แล้วก็จะยังคงได้รับเงินช่วยสำหรับเด็กในส่วนที่คงเหลือในช่วงแปดปีต่อไป 

1.2   การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร

ลูกจ้างสามารถขอลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ ในกรณี

  • พักอาศัยในบ้านเดียวกันกับบุตร
  • เลี้ยงดูบุตรด้วยตัวเอง และ
  • ไม่ได้ทำงานหรือทำงานไม่เต็มเวลา (เกิน 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน)

ลูกจ้างสามารถลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่วันที่บุตรเกิดจนถึงบุตรอายุสามปี การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรจะพิจารณาแยกสำหรับบิดาและมารดา ฉะนั้นบิดา หรือมารดาอาจจะลาในส่วนของตนเพียงลำพังหรืออาจลาพร้อมกันทั้งสองคนได้ หากลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรพร้อมกันก็จะไม่ก่อให้เกิดสิทธิด้านการช่วยเหลือทางสังคม กล่าวคือบิดามารดาต้องมั่นใจว่าจะสามารถดูแลตนเองได้ระหว่างที่ลาหยุดร่วมกัน

ลูกจ้างต้องแจ้งให้นายจ้างทราบล่วงหน้าเจ็ดสัปดาห์ก่อนเริ่มลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร โดยทั้งบิดามารดาสามารถเลื่อนการลาได้นานถึงหนึ่งปีระหว่างวันเกิดปีที่สามถึงปีที่แปดของบุตรโดยนายจ้างต้องให้การยินยอม

บิดามารดาที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขอาจทำงานเฉลี่ยรายเดือน ถึงสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในระหว่างการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร  หากทำงานกับนายจ้างมานานกว่าหกเดือนก็จะมีสิทธิทำงาน part-time ระหว่าง 15-30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  โดยที่นายจ้างว่าจ้างลูกจ้างมากกว่า 15 คน และต้องมีการลดชั่วโมงทำงานเท่ากับที่ได้กล่าวแล้วอย่างน้อยที่สุดสองเดือนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งนี้ การเรียกร้องสิทธิในการลดชั่วโมงทำงานต้องบอกกล่าวให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดสัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มทำงาน part-time

เมื่อสิ้นสุดระยะการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร ความสัมพันธ์ในด้านการจ้างงานจะกลับสู่สภาพเดิมก่อนที่จะมีการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรโดยอัตโนมัติ บิดามารดาจะได้รับการคุ้มครองการจ้างงานขณะที่อยู่ระหว่างการลานี้ โดยจะเริ่มนับตั้งแต่การบอกแจ้งเรื่องการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแต่ไม่เกินแปดสัปดาห์ก่อนการลาหยุดงาน

1.3  เงินช่วยเหลือสำหรับเลี้ยงดูบุตร

เงินช่วยในการเลี้ยงดูบุตร

กฎหมาย Maintenance Advance Act ได้กำหนดอัตราค่าเลี้ยงดูบุตรขั้นต่ำเพื่อเป็นการช่วยเหลือบิดามารดาที่เลี้ยงบุตรเพียงลำพังซึ่งน้อยกว่าเงินสิทธิประโยชน์สำหรับบุตรคนแรก โดยจะจ่ายให้กับผู้ปกครองที่ไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูอย่างสม่ำเสมอจากอีกฝ่าย โดยรัฐจะให้เงินช่วยค่าเลี้ยงดูสำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน 12 ปี โดยจ่ายให้สูงสุดนาน 72 เดือน จำนวนเงินดังกล่าวเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอัตราต่อเดือนที่ระบุไว้ ณ วันที่ 1 มกราคม 2553 มีดังนี้

  • เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี :  133 ยูโร
  • เด็กอายุระหว่าง 6-11 ปี  :   180 ยูโร

โดยผู้ปกครองจะไม่สามารถขอรับเงินในฐานะที่เป็นผู้เลี้ยงบุตรเพียงลำพังได้ หากไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ปกครองอีกฝ่าย หรือไม่สามารถแจ้งว่าผู้ใดเป็นบิดาของบุตรหรือไม่สามารถหาผู้ปกครองอีกฝ่ายได้ และรวมกรณีที่บิดามารดายังอยู่ด้วยกันหรือผู้เลี้ยงบุตรเพียงลำพังแต่งงานใหม่

เงินเสริมสำหรับบุตร        

บิดามารดาสามารถขอรับเงินเสริมสำหรับบุตรแต่ละคนที่ยังอยู่บ้านเดียวกับตน ซึ่งเป็นบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี หรือยังไม่แต่งงานได้ ในกรณี

  • ได้ขอรับสิทธิประโยชน์สำหรับบุตร
  • ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำก่อนหักภาษีสำหรับบิดามารดาที่ยังอยู่ด้วยกัน เดือนละ 900 ยูโร และสำหรับผู้ปกครองที่ต้องเลี้ยงบุตรคนเดียวเดือนละ 600 ยูโร
  • ไม่มีรายได้เกินกว่าที่กำหนด
  • เงินเสริมนี้ทำให้ไม่ต้องขอรับความช่วยเหลือดังที่ระบุในประมวลกฎหมายสังคมฉบับที่ 2 (Book II of Social Code)  

รัฐจะจำกัดวงเงินเสริมสำหรับบุตรไว้ที่คนละ 140 ยูโร ซึ่งเมื่อรวมกับเบี้ยเลี้ยงสำหรับบุตรเดือนละ 184 ยูโรแล้วก็จะทำให้เพียงพอกับความต้องการทั่วไปของบุตร ในขณะที่ความต้องการเรื่องที่อยู่อาศัยจะอยู่ภายใต้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยตามระดับขั้นรายได้ที่เหมาะสม

หากผู้ปกครองมีรายได้หรือทรัพย์สินพอแค่เพียงเพื่อการดำรงชีพของตน รัฐก็จะจ่ายเงินเสริมนี้ให้เต็มจำนวน แต่จะลดเงินช่วยลงเมื่อครอบครัวมีรายได้ถึงระดับที่กำหนด สำหรับผู้ปกครองที่มีรายได้ในระดับรายได้ขั้นต่ำและการประเมินขั้นต่ำ  รัฐจะจ่ายเงินเสริมสำหรับบุตรให้เต็มจำนวน แต่เมื่อรายได้พ้นระดับที่กำหนดให้เป็นขั้นต่ำแล้ว รัฐก็จะลดเงินเสริมสำหรับบุตรลง 50 เปอร์เซนต์ของจำนวนเงินได้ของผู้ปกครอง  และลดลง 100 เปอร์เซนต์ของรายได้อื่นที่ผู้ปกครองอาจมี  ซึ่งเกินระดับการประเมินขั้นต่ำที่ระบุ โดยจะพิจารณาตามข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน II (Unemployment Benefit II) โดยหลักแล้วจะหักเงินได้เต็มจำนวนของบุตรจากเงินเสริม

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 นอกเหนือจากเงินเสริม 140 ยูโรแล้ว ผู้รับเงินเสริมสำหรับบุตรยังมีสิทธิรับความช่วยเหลือด้านการศึกษาและในเรื่องต่อไปนี้

  •  ค่าใช้จ่ายในการที่โรงเรียนหรือศูนย์ดูแลเด็กเล็กนำเด็กไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ (ตามจ่ายจริง)
  • ค่าใช้จ่ายในการที่โรงเรียนหรือศูนย์ดูแลเด็กเล็กนำเด็กไปเที่ยวแบบหลายวัน (ตามจ่ายจริง)
  • ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์การเรียนของเด็ก (รวม 100 ยูโรต่อปี)
  • ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับโรงเรียน (ตามจ่ายจริง)
  • การสนับสนุนด้านการเรียน (ตามจ่ายจริง)
  • การร่วมในการจัดอาหารเพื่อชุมชนของโรงเรียนหรือศูนย์ดูแลเด็กเล็ก (เงินช่วย)
  • การร่วมในงานสังคมหรือวัฒนธรรมของชุมชน เช่น สโมสรกีฬาหรือการเรียนดนตรี (เดือนละ 10 ยูโร)

การช่วยเหลือเหล่านี้จะเป็นไปตามที่รัฐบาลรัฐกำหนด ซึ่งจะเป็นในรูปของความช่วยเหลือด้านการเงินและอื่นๆ การช่วยเหลือที่ไม่ใช่ตัวเงินนั้นมีขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลเป้าหมายซึ่งอาจเป็นเด็กหรือวัยรุ่นแต่ละคนจะได้รับความช่วยเหลือ โดยหน่วยงานของราชการในท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการเพื่อประกันว่าจะดำเนินงานถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึง ไม่ล่าช้า และให้ถึงมือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง 

ผู้ปกครองสามารถสมัครขอรับเงินเสริมสำหรับบุตรเป็นลายลักษณ์อักษรได้จากหน่วยงานด้านสิทธิประโยชน์ครอบครัวในพื้นที่ และสามารถสมัครขอความช่วยเหลือด้านการศึกษา และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้จากหน่วยงานรัฐบาลในท้องถิ่น

1.4   สิทธิประโยชน์สำหรับบิดามารดา

สิทธิประโยชน์นี้นับเป็นแหล่งสนับสนุนสำคัญยิ่งสำหรับครอบครัวในช่วงสิบสองเดือนแรกของบุตร เพื่อทดแทนการที่ผู้ปกครองต้องขาดรายได้หลังจากที่บุตรเกิด ทำให้ผู้ปกครองสามารถหยุดหรือลดการทำงานลงเพื่อใช้เวลาอยู่เลี้ยงดูบุตร

บิดาและมารดาสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ได้หาก

  • เป็นผู้ดูแลบุตรตั้งแต่แรกเกิดด้วยตนเอง
  • ไม่ได้ทำงานที่ได้รับค่าจ้างเกินกว่าสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมงขึ้นไป
  • อาศัยกับบุตรในบ้านเดียวกัน
  • มีถิ่นพำนักหรือพำนักปกติในเยอรมนี

คู่สมรสและคู่ครองเพศเดียวกันตามกฎหมายที่ดูแลบุตรตั้งแต่แรกเกิดสามารถรับเงินสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ปกครองได้แม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ใช่บุตรของตน

 สำหรับบุตรบุญธรรมและบุตรที่นำมาเลี้ยงเพื่อรับเป็นบุตรบุญธรรม รัฐจะจ่ายเงินสิทธิประโยชน์นี้ให้นับตั้งแต่วันที่นำเด็กมาเลี้ยงในบ้านไปจนครบ 14 เดือน แต่เด็กต้องมีอายุไม่เกินแปดปี ในกรณีที่ผู้ปกครองป่วยหนัก พิการรุนแรงหรือเสียชีวิต ญาติลำดับที่หนึ่ง สอง สาม (พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ลุงป้า ปู่ย่าตายาย และทวด) สามารถขอรับเงินสิทธิประโยชน์นี้ได้ 

ผู้ที่มีเงินได้รวมก่อนหักภาษีเกิน 500,000 ยูโรต่อปีก่อนการให้กำเนิดบุตรจะไม่มีสิทธิได้รับเงินสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ปกครอง สำหรับผู้เลี้ยงดูบุตรเพียงลำพังจะไม่มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์นี้หากเงินได้เกิน 250,000 ยูโร

ภายใต้กฎหมายอียู พลเมืองประเทศอียู อีอีเอ (ประเทศในกลุ่มเขตเศรษฐกิจยุโรป) และสวิตเซอร์แลนด์จะสามารถขอรับสิทธินี้ได้หากทำงานและพักอยู่ในเยอรมนี

สำหรับคนต่างชาติจากประเทศอื่นสามารถขอรับสิทธินี้ได้หากพำนักระยะยาว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของใบอนุญาตการมีถิ่นพำนักและเงื่อนไขว่าคนต่างชาติรายนั้นได้รับอนุญาตให้ทำงานหรือไม่ ผู้ถือใบอนุญาตให้มีถิ่นพำนักเป็นการถาวรสามารถขอรับสิทธิได้อัตโนมัติ ซึ่งผู้ถือใบอนุญาตให้มีถิ่นพำนักทั่วไปจะสามารถขอรับสิทธิได้ต่อเมื่อมีใบอนุญาตทำงานของเยอรมันและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายในเยอรมนี ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นพำนักอันเนื่องมาจากความยากลำบาก ผู้ได้รับการคุ้มครองเป็นการชั่วคราว หรือถูกเนรเทศ หรือไม่สามารถออกนอกเยอรมนีได้จะขอรับสิทธินี้ได้ต่อเมื่อได้พำนักในเยอรมนีอย่างน้อยที่สุดสามปีและเป็นผู้มีงานทำหรือกำลังรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน

จำนวนเงินและระยะเวลา

สิทธิประโยชน์นี้จะรองรับการสูญเสียรายได้ของผู้ปกครองในช่วงปีก่อนมีบุตรและการไม่มีรายได้หลังที่ให้กำเนิดบุตร สำหรับผู้ปกครองที่ได้รับเงินเดือนก่อนมีบุตร 1240 ยูโรขึ้นไปก่อนหักภาษีและประกันสังคม จะได้รับการทดแทน 65 เปอร์เซนต์ของเงินเดือน หากก่อนมีบุตรได้รับเงินเดือนเดือนละ 1220 ยูโร ก็จะได้เงินทดแทน 66 เปอร์เซนต์ และหากได้เงินเดือน 1000-1200 ยูโร ก็จะได้รับการทดแทน 67 เปอร์เซนต์  แต่หากเงินเดือนก่อนมีบุตรต่ำกว่าเดือนละ 1000 ยูโร จะได้รับเงินทดแทนสูงสุดถึง 100 เปอร์เซนต์ กล่าวคือหากผู้ปกครองมีรายได้น้อย ก็จะได้รับเงินทดแทนในเปอร์เซนต์ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์ขั้นต่ำสำหรับผู้ปกครองจะอยู่ที่ 300 ยูโร และสูงสุดไม่เกิน 1800 ยูโร  โดยรัฐจะจ่ายอัตราขั้นต่ำ 300 ยูโรแก่ผู้มีสิทธิทุกคน แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานก่อนให้กำเนิดบุตรก็ตาม สำหรับครอบครัวที่มีบุตรสองคนหรือมากกว่าสองคนขึ้นไปจะได้รับโบนัสเป็นเงินอีก 10 เปอร์เซนต์เพิ่มจากเงินสิทธิประโยชน์ของผู้ปกครองรายนั้น หรือเป็นเงินอย่างน้อย 75 ยูโรต่อเดือน สำหรับผู้ที่คลอดบุตรแฝด ก็จะได้รับเงินเพิ่มสำหรับบุตรแฝดคนที่สอง และคนถัดไป คนละ 300 ยูโรต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้นศาลสังคมแห่งสหพันธ์ฯ ยังได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ว่าผู้ปกครองสามารถรับสิทธิประโยชน์นี้แยกออกไปสำหรับเด็กแฝดแต่ละคนได้ 

บิดามารดาแต่ละคนสามารถขอรับสิทธิประโยชน์อย่างน้อยสองเดือนและสูงสุดไม่เกินสิบสองเดือน ทั้งบิดามารดาของเด็กสามารถขอรับสิทธิของผู้ปกครองรวมกันได้นานสิบสองเดือน  ซึ่งจะจ่ายให้ตามอายุเดือนของเด็กและจะมีสิทธิประโยชน์เสริมให้อีกสองเดือนหากทั้งบิดามารดาขอรับสิทธิและรายได้ของบิดามารดานั้นลดลงไปในสองเดือนที่ขอรับสิทธิ

ทั้งนี้ สิทธิประโยชน์นี้จะนำไปหักลบจากสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน ความช่วยเหลือทางสังคม และเงินเสริมสำหรับบุตรโดยนับเป็นรายได้เต็มจำนวน อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองที่รับสิทธิประโยชน์นี้แต่เป็นผู้มีงานทำก่อนให้กำเนิดบุตรก็ยังมีสิทธิได้รับการยกเว้นบางส่วน ซึ่งจะสัมพันธ์กับรายได้ก่อนให้กำเนิดบุตรที่จำกัดไว้สูงสุด 300 ยูโรต่อเดือน หากมีรายได้เพียงเท่านี้ก็จะไม่ลดสิทธิประโยชน์ของบิดามารดา

ที่มา: เรียบเรียงจากหนังสือ Social Security at a Glance 2014 ของกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมแห่งสหพันธ์ฯ

—————————————————-

ฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน
27  เมษายน  2558


552
TOP