ระบบประกันสังคมของเยอรมนี บทที่ 9 อนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน
นายจ้างมีหน้าที่รับผิดชอบต่ออนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง โดยต้องจัดและบำรุงรักษา สถานประกอบการ เครื่องมือ เครื่องจักร โรงงาน และอุปกรณ์ เพื่อคุ้มครองลูกจ้างมิให้เกิดอันตรายทั้งด้านสุขภาพและอนามัย ดำเนินการป้องกันอุบัติเหตในการทำงาน อาชีวอนามัย และต้องจัดสถานที่ทำงานอย่างเหมาะสม ซึ่งต้องทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
อนามัยและความปลอดภัยในการทำงานจะครอบคลุมประเด็นดังนี้
- สถานที่ทำงาน รวมถึงสุขอนามัยในสถานที่ทำงาน
- เครื่องมือ เครื่องจักร โรงงาน และอุปกรณ์
- สารอันตราย
- ชั่วโมงทำงาน
- การคุ้มครองกลุ่มพิเศษ
- การจัดการเรื่องอนามัยและความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
- การป้องกันด้านอาชีวอนามัย
- งานยกต่าง ๆ
- สารชีวภาพ
- สียงและแรงสั่นสะเทือน
- การเผชิญกับรังสีประดิษฐ์
สิทธิของลูกจ้าง
กฏระเบียบว่าด้วยอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานใช้บังคับกับลูกจ้างทุกคน รวมลูกจ้างเกษตรและงานสาธารณะ
เด็กและผู้เยาว์จะได้รับการคุ้มครองพิเศษตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เยาว์ โดยปกติแล้วผู้เยาว์อายุระหว่าง 15-17 ปีเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ทำงาน ลูกจ้างจะได้รับคุ้มครองอุบัติเหตุและโรคจากการทำงานจากกองทุนประกันอุบัติเหตุจากการทำงาน ซึ่งเป็นกองทุนที่นายจ้างในอุตสาหกรรมต้องรับผิดชอบ สมาชิกกองทุนได้แก่บริษัทของนายจ้าง โดยกองทุนจะมีพนักงานตรวจสอบทางเทคนิค ในหลายรัฐจะใช้พนักงานตรวจด้านอนามัยและความปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อประกันว่าจะมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดและอุปกรณ์ที่ติดตั้งนั้นมีการใช้งานจริง
ด้านกฎหมาย
กฎด้านอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานจะปรากฏในพระราชบัญญัติและกฎระเบียบหลายฉบับ และในประมวลกฎหมายว่าด้วยการป้องกันที่จัดพิมพ์โดยกองทุนความรับผิดของนายจ้าง (the employers’liability funds)นอกจากนั้นยังมีกฎด้านอนามัยและความปลอดภัยสำหรับภาคการค้าและอุตสาหกรรมเฉพาะเช่น กฎว่าด้วยแบบและการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ กฎว่าด้วยการใช้สารเฉพาะซึ่งจำเป็นต้องใช้ในกระบวนการผลิต กฎที่ใช้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม
กฎหมายเฉพาะด้านอนามัยและความปลอดภัย
พระราชบัญญัติว่าด้วยอนามัยและความปลอดภัยในที่ทำงาน ซึ่งกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องประเมินภัยในสถานประกอบการ ใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม นายจ้างต้องเตรียมป้องกันในพื้นที่และสถานการณ์ที่เป็นอันตรายและต้องมีการดูแลป้องกันด้านอาชีวอนามัย หากลูกจ้างตกอยู่ในอันตรายฉับพลันก็สามารถออกจากสถานที่ทำงานโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาต่องาน กฎหมายให้สิทธิ์ลูกจ้างในการยื่นข้อเสนอต่อเจ้าหน้าที่ด้านอนามัยและความปลอดภัยของบริษัท หากยื่นข้อเสนอแล้วแต่บริษัทไม่มีการดำเนินการด้านอนามัยและความปลอดภัยที่เหมาะสม ลูกจ้างก็สามารถร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตรวจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษ
พระราชบัญญัติว่าด้วยแพทย์ วิศวกรด้านความปลอดภัย และเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยในการทำงานอื่น ๆ ของบริษัท กำหนดให้นายจ้างต้องแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อดูแลเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมถึงการออกแบบสถานที่ทำงานตามหลักการยศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยยังมีหน้าที่ให้คำแนะนำนายจ้างเกี่ยวกับปัจจัยด้านอนามัยและความปลอดภัยทั้งหมดในสภาพแวดล้อมแห่งการทำงาน โดยเริ่มตั้งแต่การวางแผนการปฏิบัติการ การซื้อเครื่องมือและออกแบบสถานที่ทำงาน การให้คำแนะนำนายจ้างในการประเมินสภาพการทำงาน และแพทย์ของบริษัทยังต้องรับผิดชอบในการให้คำแนะนำเรื่องการบูรณาการ หรือการบูรณาการใหม่อีกครั้งให้กับลูกจ้างผู้พิการ
พระราชบัญญัติว่าด้วยชั่วโมงการทำงาน กำหนดชั่วโมงการทำงานสูงสุดต่อวัน ช่วงพักขั้นต่ำระหว่างชั่วโมงทำงาน และระยะพักผ่อนขั้นต่ำหลังทำงานเพื่อคุ้มครองอนามัยและความปลอดภัย มีการคุ้มครองเป็นการเฉพาะแก่ลูกจ้างที่ทำงานตอนกลางคืนโดยไม่จำกัดเพศ โดยตามปกติจะห้ามทำงานในวันอาทิตย์และวันหยุด ยกเว้นบางกรณี
พระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองผู้เยาว์ คุ้มครองเด็กและผู้เยาว์จากการทำงานเกินควรทั้งในส่วนของอายุ การทำงานขั้นต่ำ และจำนวนชั่วโมงที่ผู้เยาว์สามารถทำงาน วันหยุดประจำปีที่จะได้รับ ซึ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการคุ้มครองมิให้มีการใช้แรงงานเด็กจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ยกเว้นและเหมาะสมที่เด็กสามารถทำได้ ภายใต้พระราชบัญญัตินี้สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปและสำหรับเด็กที่มีอายุมากกว่านี้จะมีระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองเด็กในที่ทำงานซึ่งจำเป็นต้องไปโรงเรียนเต็มเวลา
พระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองมารดาที่ทำงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมารดาและบุตรจากอันตรายการทำงานมากเกินควร และภัยต่อสุขภาพในที่ทำงาน
พระราชบัญญัติว่าด้วยความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เยอรมนีอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามข้อกำหนดด้านปลอดภัยเท่านั้นที่จะวางตลาดและจำหน่ายได้ รวมถึงสินค้าบริโภคและผลิตภัณฑ์ที่ลูกจ้างใช้ในสถานที่ทำงาน กฎหมายนี้เป็นพื้นฐานในการนำกฎยุโรปมาใช้ซึ่งอนุญาตขายผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเท่านั้นในประชาคมยุโรป
สินค้าบริโภคและอุปกรณ์เทคนิคต้องไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่วางตลาดผลิตภัณฑ์- ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่ายที่ต้องทำให้มั่นใจว่าสินค้าที่ผลิตและขายนี้จะไม่เป็นอันตรายต่ออนามัยและความปลอดภัยของผู้ใช้
ระเบียบว่าด้วยอาชีวอนามัย ให้ข้อมูลและคำแนะนำลูกจ้างเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพ อันเป็นส่วนสำคัญต่อมาตรการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการป้องกันความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำงานและช่วยให้ลูกจ้างสามารถทำงานได้ต่อไป โดยครอบคลุมนายจ้างและแพทย์เพื่อประกันสิทธิของลูกจ้างให้ได้รับการตรวจร่างกายอย่างโปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นการตรวจตามกำหนด การเลือกรับตรวจร่างกาย และส่งเสริมให้ลูกจ้างขอรับการตรวจด้วยความสมัครใจ ทั้งนี้จะแยกการตรวจที่เกี่ยวกับงานออกจากการตรวจสอบความถนัดทางร่างกาย (aptitude physicals) ซึ่งจะอยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายว่าด้วยการจ้างงานและการคุ้มครองข้อมูล ระเบียบนี้จะเสริมด้วยกฎอาชีวอนามัยที่สอดคล้องกับอาชีวอนามัยในปัจจุบัน โดยมีคณะกรรมการอาชีวอนามัยซึ่งรับผิดชอบเรื่อง ข้อแนะในการป้องกันสุขภาพในสถานที่ทำงาน การออกกฎที่สัมพันธ์กับสภาวะปัจจุบันด้านอาชีวอนามัย ข้อแนะเกี่ยวกับการป้องกันดูแลด้านอาชีวอนามัย รวมถึงวางระเบียบให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
ระเบียบว่าด้วยอุปกรณ์ป้องกัน จะเกี่ยวข้องกับการเลือกและการใช้อุปกรณ์ป้องกันในงานทุกภาค นายจ้างต้องดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจ้างได้รับการสอนให้ใช้อุปกรณ์อย่างเหมาะสม
ระเบียบว่าด้วยการแบกหามสัมภาระ จะกำกับดูแลด้านอนามัยและความปลอดภัยของการใช้คนแบกหามสัมภาระ นายจ้างต้องหลีกเลี่ยงการใช้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องประกันด้านความปลอดภัยสูงสุดและเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดแก่ลูกจ้างให้น้อยที่สุด โดยต้องมีการประเมินสภาพการทำงานเพื่อกำหนดมาตรการด้านอนามัยและความปลอดภัยที่เหมาะสม
ระเบียบด้านอนามัยและความปลอดภัยในสถานที่ก่อสร้าง จะมุ่งลดอุบัติเหตุและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดจากงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่างๆ และเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและอนามัยของคนงานก่อสร้าง ระเบียบจะรวมถึงการแจ้งล่วงหน้า การวางแผนด้านความปลอดภัยและอนามัย และการแต่งตั้งผู้ประสานงาน โดยจะคำนึงเรื่องการปรับปรุงแผนและการประสานงานของโครงการก่อสร้างเพื่อหาจุดที่สามารถเป็นอันตรายและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ
ระเบียบว่าด้วยสถานีปฏิบัติการวีดิทัศน์ (Video display workstation regulations)จะรวมกฎด้านอนามัยและความปลอดภัยของลูกจ้างในการใช้สถานีปฏิบัติการวีดิทัศน์ ซึ่งนายจ้างต้องปฏิบัติตาม โดยระเบียบจะรวมถึงข้อกำหนดขั้นต่ำของอุปกรณ์ที่ใช้แสดง สถานที่ทำงาน และสภาพในการทำงาน ซอฟต์แวร์และลำดับขั้นตอนงาน และกำหนดให้ต้องตรวจสอบสายตาของผู้ทำงานด้านนี้และใช้แว่นตาพิเศษสำหรับงานหน้าจอ
ระเบียบว่าด้วยอุปกรณ์ในการทำงาน เพื่อประกันให้มั่นใจว่าการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่ออนามัยและความปลอดภัยของลูกจ้าง โดยจะครอบคลุมมาตรการในการคุ้มครองลูกจ้างและบุคคลที่สามจากการใช้อุปกรณ์ที่ต้องได้รับการกำกับดูแลอุปกรณ์ในการทำงานจะรวมถึงเครื่องต้มไอน้ำ ภาชนะบรรจุแรงดัน และลิฟต์
ระเบียบว่าด้วยสถานที่ทำงาน กำหนดให้โรงงาน ห้องทำงานในโรงงาน สำนักงานและห้องอำนวยการ คลังสินค้า และโรงฝึกงานต้องมีอุปกรณ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่ออนามัยและความปลอดภัยของลูกจ้าง ระเบียบครอบคลุมขนาด การระบายอากาศ แสง และอุณหภูมิ
ระเบียบว่าด้วยสารที่เป็นอันตราย ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อปี 2553 เพื่อให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น สามารถคุ้มครองลูกจ้างในการใช้สารอันตรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมี ระเบียบนี้จะกำหนดให้นายจ้างใช้มาตรการคุ้มครองที่เกี่ยวกับทำงานเป็นการเฉพาะ เนื่องจากนายจ้างเป็นผู้ที่ทราบถึงสภาพการทำงานในสถานประกอบการของตนมากที่สุด มีกฎในการประเมินภัยและการใช้มาตรการปลอดภัยมื่อถึงระดับที่เป็นอันตรายเพื่อช่วยนายจ้างตัดสินว่าต้องดำเนินการอย่างไร การให้นายจ้างมีความรับผิดชอบจะควบคู่ไปกับการกำหนดขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ
หากมีรายละเอียดที่ต้องดำเนินการเกินจากที่ระเบียบกำหนดก็สามารถใช้ระเบียบเชิงเทคนิคว่าด้วยสารอันตรายซึ่งออกโดยคณะกรรมการสารอันตราย อย่างไรก็ตาม นายจ้างสามารถใช้มาตรการได้อย่างอิสระนอกเหนือไปจากที่ระเบียบเชิงเทคนิคกำหนดหากมาตรการที่ใช้นั้นเหมาะสม เพียงพอ และสมเหตุสมผล ระเบียบจะมีภาคผนวกที่กำหนดรายละเอียดเฉพาะด้านที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในการทำงานอย่างปลอดภัย
ระเบียบว่าด้วยสารชีวภาพ ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อปี 2556 เพื่อวางกรอบกฎหมายที่ทันสมัยใน การคุ้มครองลูกจ้างที่ต้องสัมผัสกับสารชีวภาพ ซึ่งแบ่งสารนี้เป็นสี่กลุ่มเสี่ยง มาตรการคุ้มครองลูกจ้างจากการติดเชื้อหรือผลจากการแพ้หรือพิษจากสาร
ระเบียบนี้คุ้มครองลูกจ้างประมาณห้าล้านคน ที่ต้องสัมผัสกับสารชีวภาพในการทำงานที่เกี่ยวกับการวิจัย อาหาร การเกษตร การกำจัดของเสีย น้ำเสีย และภาคการดูแลสุขภาพ โดยระเบียบจะใช้หลักการพื้นฐานที่ยืดหยุ่นเพื่อให้นายจ้างสามารถนิยามและใช้มาตรการป้องกันในการจัดการกับอันตรายเป็นการเฉพาะได้ในแต่ละกรณี นอกจากนั้นยังมีการนิยามระเบียบเพิ่มเติมในระเบียบทางเทคนิคที่คณะกรรมการสารชีวภาพจัดทำขึ้น
โรคติดต่ออย่างเช่น ไข้หวัดนก และ H1N1 ทำให้ประเด็นการป้องกันลูกจ้างที่ต้องสัมผัสกับสิ่งที่ก่อโรคเป็นประเด็นหลักสำหรับกิจวัตรประจำวัน
เสียงและแรงสั่นสะเทือนในสถานที่ทำงานมุ่งที่การปรับปรุงสภาพอนามัยและความปลอดภัยสำหรับลูกจ้างในสถานที่ทำงาน โดยออกแบบเพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยิน ความผิดปกติของกล้ามเนื้อและโครงกระดูก ประสาท อันเกิดจากการทำงานในที่มีการสั่นสะเทือนมากๆ เป็นระยะเวลานาน
ระเบียบว่าด้วยอาชีวอนามัยในการต้องเผชิญกับรังสีประดิษฐ์ มุ่งที่การคุ้มครองลูกจ้างที่ต้องจ้องรังสีประดิษฐ์ในการทำงาน ซึ่งส่งผลต่อตาและผิว การต้องเผชิญกับรังสีสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการปฏิบัติตามการจำกัด การทำงานที่ต้องเจอรังสีที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากรังสีนี้เป็นสาเหตุให้ผิวหนังไหม้ ผิวเป็นผื่นแดงจากการต้องสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเล็ต ภาวะพิษเหตุแสง สายตาเสีย เรตินาเกิดความเสียหาย การต้องทำงานกับรังสีอัลตราไวโอเล็ตและอินฟาเรดเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงของต้อกระจก และอาจส่งผลต่อพันธุกรรม แม้แต่การสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้เกิดมะเร็งโรคผิวหนังในระยะยาวได้
รังสีประดิษฐ์ที่เป็นภัยต่อสายตามักเกิดจากการเชื่อม กระบวนการผลิตแก้วหรือควอซต์ โลหะ การใช้เลเซอร์ การสัมผัสสามารถก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อสายตาและผิวหนัง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างในการทำงาน
มาตรการป้องกันภายใต้ระเบียบนี้มุ่งที่การปรับปรุงสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างและลดค่าใช้จ่ายในระบบประกันสังคม
Book VII ของ Social Code
กองทุนความรับผิดชอบของนายจ้างจะมีหน้าที่ในการใช้วิธีการที่เหมาะสมทั้งหมดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการทำงานโรคจากการทำงาน และอันตรายจากการทำงาน และเพื่อประกันว่าจะมีเครื่องปฐมพยาบาลในสถานที่ทำงาน ตามกฎหมายแล้ว ภายหลังการประเมินตามที่กำหนด กองทุนจะออกกฎป้องกันอุบัติเหตุซึ่งมีผลผูกพันตามกฎหมายต่อสมาชิก(บริษัท) และผู้ประกันตน ผู้ตรวจด้านเทคนิคจะประกันเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามกฎป้องกันอุบัติเหตุ และให้คำแนะนำต่อบริษัทและผู้ประกันตน
โปรแกรมของกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมด้านโครงการต้นแบบเพื่อขจัดโรคที่เกิดจากการทำงาน
กระทรวงฯ ได้ให้ทุนเฉพาะแก่โครงการต้นแบบที่เกี่ยวข้องกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมาตั้งแต่ปี 2536 โครงการต้นแบบเพื่อช่วยนายจ้างในการดำเนินมาตรการความปลอดภัยในการทำงานและสร้างสภาพการทำงาน ณ สถานประกอบการ จากการจัดพิมพ์และเผยแพร่ความรู้ทำให้โครงการสามารถลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและโรคที่เกิดจากการทำงานในภาคการผลิต งานฝีมือ และการค้า และภาคบริการ ซึ่งช่วยส่งเสริมสถานะการแข่งขันของเยอรมนี สำหรับการให้ทุนในปี 2553 นั้นเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนา การทดสอบ และการดำเนินตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการคงไว้ซึ่งสมรรถนะและความสามารถในการทำงาน
แนวคิดใหม่เกี่ยวกับงานที่มีคุณภาพ
รัฐบาลสหพันธ์ฯ รัฐบาลประจำมลรัฐ ผู้ให้บริการประกันสังคม สหภาพ มูลนิธิ และนายจ้างได้ร่วมกันเปิดโครงการนี้ในปี 2545 โดยมุ่งเป้าที่การยกระดับคุณภาพงานในการแข่งขันและนวัตกรรมของเยอรมนีในระยะยาว ดังนั้นโครงการนี้จึงได้นำผู้ประสงค์จะวางรูปแบบการจ้างงานมารวมกลุ่มกันเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูล แนะนำปรึกษา ให้บริการข้อมูลข่าวสาร เครื่องมือปฏิบัติ การให้เงินทุน และมีเว็บไซต์ที่ให้ฐานข้อมูลแนวปฏิบัติและตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ
ภายใต้แนวคิดดังกล่าว ผู้แทนของรัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคการวิจัย และประชาสังคมได้ร่วมกันพิจารณาว่าจะทำสภาพการทำงานให้ดึงดูดใจลูกจ้างได้มากขึ้นอย่างไร โดยจัดเวทีอิสระ ที่ไม่มีพรรคไม่มีการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากนายจ้างและสหภาพเพื่อการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนในปี 2555 เพื่อเป็นหน่วยหลักในการตัดสินใจซึ่งจะวางลำดับความสำคัญของงานที่จะดำเนินการและเริ่มต้นกิจกรรม คณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนภาคธุรกิจและสหภาพในจำนวนเท่ากัน และมีผู้แทนจากกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม สำนักงานจัดหางานแห่งสหพันธ์ฯ โดยมีการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมร่วมกับผู้แทนดังกล่าว
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นเรื่องที่ทวีความเร่งด่วนสำหรับนายจ้างและหน่วยงานภาครัฐในการรับเอาแนวคิดในการให้ได้มาซึ่งแรงงานฝีมือเพื่อส่งเสริมสมรรถนะทางนวัตกรรมและความดึงดูดใจในฐานะที่เป็นนายจ้าง ให้มีสิ่งใหม่ๆ ในการคัดสรร และในการมีศักยภาพทางการจ้างงานใหม่ๆ การพัฒนากำลังแรงงานให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องความภักดีของลูกจ้างและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีลูกจ้างเป็นศูนย์กลาง โดยเรื่องหลักคือเพื่อให้ลูกจ้างมีสภาพการทำงานที่ดี มีอนามัย มีแรงจูงใจในการทำงาน
โครงการนี้มีเป้าหมายที่การเพิ่มความตระหนักรู้ในโลกธุรกิจสำหรับผู้เกี่ยวข้องและให้ความสำคัญต่อแนวปฏิบัติที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหา
โครงการได้กำหนดนโยบายทรัพยากรมนุษย์หลัก 4 ด้านซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายธุรกิจ หน่วยงานรัฐ และลูกจ้างอันได้แก่
- การจัดการบุคคล ซึ่งต้องมีวัฒนธรรมการเป็นผู้นำที่ดี การประสานแผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และยุทธศาสตร์ที่องค์กรต้องการ ความสามารถและความถนัดของบุคคล
- โอกาสที่เท่าเทียมกันและความหลากหลาย นโยบายทรัพยากรมนุษย์ที่ดีจะต้องทำให้เกิดความหลากหลายที่สุด ทีมงานที่มีความหลากหลายทั้งอายุ เพศ ความเป็นมาทางสังคมและวัฒนธรรม ความสามารถ ประสบการณ์ และคุณสมบัติ จะสามารถรังสรรค์งานได้มากขึ้นและประสบความสำเร็จมากขึ้น
- อนามัย ความสมดุลของอนามัยและชีวิตการทำงานนั้นคือปัจจัยสำคัญต่อแรงจูงใจ การปฏิบัติงานและนวัตกรรม องค์กรที่มุ่งเน้นอนาคตประยุกต์ใช้การป้องกันเชิงโครงสร้างในขณะที่เน้นกลยุทธ์ด้านบุคคล ซึ่งอนามัยทั้งกายและใจของกำลังแรงงานและความยืดหยุ่นขององค์กรซึ่งปัจจัยสู่ความสำเร็จ
- ความรู้และสมรรถนะ ความรู้คือปัจจัยหลักของความสำเร็จขององค์กรและเป็นพื้นฐานแห่งนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเยอรมัน การฝึกอบรมและการเรียนรู้ตลอดชีพคือการประกันว่าจะยังคงไว้ซึ่งผู้ชำนาญการและใช้ประโยชน์จากคนเหล่านี้ให้มากที่สุด
โปรแกรม ESF เข้ามาเสริมโครงการข้างต้น โดยสนับสนุนบริการให้คำปรึกษาแบบมืออาชีพแก่สถานประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs)เพื่อค้นหาความต้องการด้านทรัพยากรมนุษย์และพัฒนานโยบายทรัพยากรมนุษย์ที่เหมาะสมซึ่งจะครอบคลุมประเด็น เช่น การส่งเสริมสุขภาพ ชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น ความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน การฝึกอบรมแก่ลูกจ้างและการฝึกเพิ่ม ทั้งนี้ คำแนะนำต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะปรับให้ตรงกับความต้องการของแต่ละประเภทธุรกิจ ซึ่งนายจ้างต้องให้ลูกจ้างเข้ามาร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย โดยโครงการจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษา 80 เปอร์เซนต์สำหรับบริษัทที่มีลูกจ้างที่เข้าร่วมโครงการไม่เกิน 249 คน
นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมกิจกรรมในภูมิภาคผ่านเครือข่ายซึ่งเน้นความสำคัญและเป้าหมายของประเด็นที่ครอบคลุมและก่อให้เกิดความตระหนักรู้ของสาธารณะสำหรับ SMEs ที่ดำเนินการผ่านเครือข่ายในภูมิภาคจึงเป็นการดีที่สุดที่จะทำในระดับภูมิภาค ซึ่งกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมก็ยังคงให้การสนับสนุนโครงการ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเน้นที่การถ่ายทอดและโครงการต้นแบบที่มีเพื่อพัฒนาแนวทางที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและกฎระเบียบเพื่อปกป้องความสามารถและเพิ่มความสามารถในการมีงานทำ
ข่าวแรงงาน ลำดับที่ 24 /2559
ที่มา: เรียบเรียงจากคู่มือประกันสังคม Social Security at a Glance 2014 ของกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมแห่งสหพันธ์ฯ
ฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน