ระบบประกันสังคมของเยอรมนี บทที่ 15 การประกันเงินบำนาญ
ดาวน์โหลดเอกสารข่าวแรงงาน ลำดับที่ 54 /2559
ผู้ประกันตน
ลูกจ้างทุกคนจะต้องจ่ายเงินสมทบประกันเงินบำนาญตามกฎหมาย ยกเว้นผู้ฝึกงาน คนพิการซึ่งทำงานและพักอยู่ ณ สถานฝึกงาน อาสาสมัครทหาร อาสาสมัครแห่งสหพันธ์ฯ และอาสาสมัครที่ทำงานหนึ่งปีให้กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
การประเมินเพื่อจำกัดวงเงินสูงสุดที่จะนำมาคำนวณเพื่อจ่ายเงินสมทบ ณ ปี 2558 กำหนดไว้ไม่เกินเดือนละ 6,050 ยูโรสำหรับเยอรมันตะวันตก ส่วนเยอรมันตะวันออกไม่เกินเดือนละ 5,200 ยูโร แม้ว่าผู้ประกันตนจะมีรายได้มากกว่านั้นก็ตาม
ลูกจ้างที่ทำงานนับตั้งแต่หรือภายหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 และผู้ซึ่งมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 450 ยูโรจะได้รับการคุ้มครองโดยประกันภาคบังคับในฐานะเป็นลูกจ้างชายขอบ ซึ่งนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้างในอัตราคงที่คือ 15 เปอร์เซนต์สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม หรือ 5 เปอร์เซนต์หากเป็นงานมินิจ๊อบในครัวเรือน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเงินสมทบประกันบำนาญที่เรียกเก็บ 18.7 เปอร์เซนต์ (อัตราสำหรับปี 2558) แล้วลูกจ้างจะยังคงต้องจ่ายอีก 3.7 เปอร์เซนต์สำหรับงานมินิจ๊อบในภาคอุตสาหกรรม หรือ 13.7 เปอร์เซนต์สำหรับงานมินิจ๊อบในครัวเรือน
การจ่ายเงินสมทบจากลูกจ้างที่มีรายได้ระหว่าง 450.01 ยูโรและ 850 ยูโร นั้นจะใช้กลไกโซนก้าวหน้า (progression zone) ซึ่งช่วยลดภาระของลูกจ้างในการจ่ายเงินสมทบโดยพิจารณาจากสัดส่วนของเงินได้ โดยปกติลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมซึ่งครอบคลุมสุขภาพ บำนาญ การดูแลระยะยาว และการประกันกรณีว่างงานประมาณ 20 เปอร์เซนต์ ลูกจ้างในกลุ่มนี้จะสามารถจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในอัตราเริ่มต้น 11 เปอร์เซนต์ของ 450.01 ยูโรซึ่งเป็นอัตราด้านล่างสุดของ progression zone และจ่ายเพิ่มไปจนเต็มส่วนที่ลูกจ้างต้องจ่ายเมื่อเงินเดือนถึง 850 ยูโร โดยที่นายจ้างจะยังคงจ่ายเงินสมทบส่วนที่ต้องจ่ายตามปกติให้กับลูกจ้าง
หมายเหตุ: การคำนวณบำนาญจะพิจารณาจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำที่ลูกจ้างจ่ายสมทบจริง แต่ ลูกจ้างสามารถลงลายมือชื่อแจ้งความจำนงต่อนายจ้างว่าประสงค์จะจ่ายเงินสมทบตนเลือกจ่ายสมทบเต็มจำนวนตามค่าจ้างที่ได้รับ ซึ่งสามารถกระทำได้แม้จะอยู่ในโซนก้าวหน้าก็ตาม ซึ่งการจ่ายเงินสมทบเต็มจำนวนจะมีผลต่อการพิจารณาเงินบำนาญเมื่อครบวัยเกษียณเช่นกัน
ผู้จ้างงานอิสระไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสมทบภาคบังคับ ส่วนผู้ต้องจ่ายเงินสมทบภาคบังคับนั้นจะรวม ครู อาจารย์ที่ได้รับการว่าจ้างอิสระ ผู้ดูแลเด็ก พยาบาล และพยาบาลผดุงครรภ์ ส่วนผู้ที่ทำการค้าอิสระก็ต้องจ่ายเงินสมทบภาคบังคับถึงแม้ว่าอาจเลือกที่จะออกมาหลังจาก 18 ปีก็ตาม ศิลปินอิสระและสมาชิกวิชาชีพการพิมพ์ต่างต้องอยู่ในระบบประกันภาคบังคับภายใต้พระราชบัญญัติสวัสดิการสังคมศิลปิน แม้ว่าจะจ่ายเงินสมทบเองเพียงครึ่งหนึ่งก็ตาม โดยหากมีรายได้ขั้นต่ำ 3,900 ยูโรต่อปีก็ต้องจ่ายเงินสมทบ ซึ่งกองทุนสวัสดิการสังคมของศิลปินจะเป็นผู้พิจารณาว่าผู้ใดต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราเท่าใด
นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ผู้ทำงานอิสระต้องทำประกันภาคบังคับ หากเป็นผู้ทำงานอิสระซึ่งไม่มีลูกจ้างที่ต้องจ่ายเงินสมทบผู้ประกันตน และต้องทำงานระยะยาวกับลูกค้าหรือนายจ้างเพียงรายเดียว โดยการจะพิจารณาว่าผู้ใดทำงานกับลูกค้าหรือนายจ้างรายเดียวจาก สัญญาที่ทำกับลูกค้าหรือนายจ้างรายเดียวและสภาพเศรษฐกิจของผู้ทำงานอิสระซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยลูกค้าหรือนายจ้างเป็นหลัก
ผู้ที่เริ่มประกอบธุรกิจกับลูกค้ารายเดียวอาจได้รับการยกเว้นการจ่ายเงินสมทบได้นานได้ถึงสามปี และผู้ใกล้เกษียณอายุก็สามารถขอรับยกเว้นได้เช่นกัน
สำหรับเกษตรกรจะไม่ต้องทำประกันตนภายใต้การประกันเงินบำนาญตามกฎหมาย แต่จะมีกองทุนบำนาญของเกษตรกรแยกออกไป ซึ่งเป็นระบบเฉพาะที่ให้การคุ้มครองบางส่วนซึ่งเกษตรกรก็ได้รับเงินเสริมในทางอื่นซึ่งมักได้แก่การขายกิจการเมื่อเกษียณอายุ หรือขอรับสิทธิส่วนแบ่งคนชรา (Altenteil) ซึ่งเป็นสิทธิของเกษตรกรเยอรมันที่จะอาศัยอยู่ในฟาร์มหลังจากส่งมอบให้บุตรทำต่อแล้ว
ผู้จ้างงานอิสระซึ่งไม่ต้องจ่ายสมทบภาคบังคับสามารถขอรับการคุ้มครองประกันเงินบำนาญตามกฎหมายภายในเวลาห้าปีนับตั้งแต่เป็นผู้จ้างงานอิสระ ซึ่งจะทำให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นกับผู้ที่ต้องจ่ายสมทบภาคบังคับรายอื่น
ระยะเวลาที่ต้องเลี้ยงดูบุตร ในช่วงต้นของการเลี้ยงดูบุตร มารดาและบิดาต่างได้รับการประกันโดยอัตโนมัติ โดยการประกันภาคบังคับจะครอบคลุมช่วงสามปีแรกสำหรับบุตรที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 และสองปีสำหรับบุตรที่เกิดก่อนหน้านั้น
ผู้ทำหน้าที่ดูแลญาติที่บ้าน โดยที่มีการประเมินแล้วว่าญาตินั้นจำเป็นต้องได้รับการดูแล ก็จะถือว่าช่วงเวลาที่ทำหน้าที่ดูแลเป็นช่วงการจ่ายเงินสมทบสำหรับการประกันบำนาญตามกฎหมาย โดยกองทุนการประกันการดูแลระยะยาวจะเป็นผู้จ่ายเงินสมทบ ฉะนั้นผู้ดูแลจึงเป็นผู้ประกันตนภาคบังคับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ
หากผู้ที่กำลังรับสิทธิประโยชน์ทดแทนรายได้เป็นผู้ประกันตนในปีก่อนที่จะขอรับสิทธิประโยชน์ บุคคลนั้นก็จะยังคงเป็นผู้ประกันตนภาคบังคับต่อไป (ยกเว้นผู้รับสิทธิประโยชน์เมื่อว่างงานII) หากไม่อยู่ในข่ายนี้ก็จะต้องยื่นขอรับการคุ้มครองประกันภาคบังคับ ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ทดแทนรายได้จะครอบคลุมสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย สิทธิประโยชน์กรณีบาดเจ็บ เบี้ยเลี้ยงช่วงเปลี่ยนผ่าน สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน เบี้ยยังชีพ สิทธิประโยชน์ก่อนเกษียณอายุ และเงินเกษียณก่อนกำหนด ซึ่งหน่วยงานที่ให้สิทธิประโยชน์จะเป็นผู้จ่ายเงินสมทบ
ผู้ไม่ต้องประกันตน
ผู้ไม่อยู่ในข่ายการประกันภาคบังคับจะได้รับการยกเว้นซึ่งรวมผู้ทำงานชายขอบหรือทำงานอิสระชายขอบ หากได้ทำงานเหล่านี้ก่อน 1 มกราคม 2556 และการยกเว้นไม่ต้องประกันตนยังใช้กับผู้ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองจากการประกันตามกฎหมายเพราะสถานะการทำงานหรือเพราะมีการคุ้มครองประกันสังคมอื่น (เช่น ข้าราชการ ผู้พิพากษา สมาชิกแผนบำนาญหรือนักวิชาชีพอิสระ) และผู้คงรับสิทธิประโยชน์บำนาญผู้สูงอายุ
ผู้ที่ได้รับการว่าจ้างระยะสั้นก็จะได้รับการยกเว้นจากการประกันตน โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไปหากได้ตกลงกันว่าจะทำงานนานที่สุดสามเดือนหรือ 70 วันทำงาน และไม่ใช่อาชีพประจำ ก็จะถือว่าเป็นการจ้างงานระยะสั้น หลักเกณฑ์เรื่องการจ้างงานระยะสั้นนี้จะยังคงใช้ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2561 ซึ่งจะลดลงอีกเป็นสองเดือนหรือ 50 วันทำงาน โดยไม่คำนึงถึงรายได้ โดยทั่วไปจะไม่มีการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อประกันบำนาญและนายจ้างไม่ต้องจ่ายสมทบในอัตราคงที่ในการจ้างงานระยะสั้น
ผู้สามารถขอยกเว้นการส่งเงินสมทบประกันสังคม
นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ลูกจ้างเงินได้ต่ำไม่เกินเดือนละ 450 ยูโรอาจขอรับการยกเว้นการจ่ายสมทบประกันสังคม (เดิมจนถึงสิ้นปี 2555 กำหนดไว้ที่เดือนละ 400 ยูโรและลูกจ้างที่ได้รับเงินเดือนไม่เกินอัตรานี้จะได้รับการยกเว้นโดยอัตโนมัติ) นายจ้างจะจ่ายสมทบเงินบำนาญแบบคงที่ให้ 15 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้จะใช้อัตราคงที่ 5 เปอร์เซนต์กับงานชายขอบในบ้านเอกชนซึ่งจะจัดอยู่ในประเภทการจ้างงานชายขอบ และเพื่อให้ส่งเงินสมทบเต็มตามอัตราที่กำหนด ลูกจ้างที่ทำงานชายขอบจะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มจากส่วนของเงินสมทบคงที่ซึ่งนายจ้างต้องจ่าย (ปี 2558 อัตราเงินสมทบคือ 18.7 เปอร์เซนต์ ดังนั้นลูกจ้างชายขอบที่ทำงานบ้านเอกชนก็จะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มอีก 13.7 เปอร์เซนต์จากอัตราคงที่ 5 เปอร์เซนต์ซึ่งนายจ้างต้องจ่าย ในขณะที่ลูกจ้างงานชายขอบประเภทอื่น ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบคงที่ 15 เปอร์เซนต์ ลูกจ้างชายขอบประเภทเหล่านี้จะต้องจ่ายเงินสมทบอีก 3.7 เปอร์เซนต์) การจ่ายเงินสมทบจะทำให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์บำนาญตามกฎหมายทั้งหมดซึ่งรวมถึงการฟื้นฟู บำนาญสำหรับผู้สูญเสียความสามารถในการหารายได้ บำนาญ การเกษียณก่อนกำหนด และเงินเสริมบำนาญ Riester สำหรับลูกจ้างที่ได้ค่าจ้างน้อยกว่าเดือนละ 175 ยูโรก็จะต้องจ่ายเงินสมทบขั้นต่ำจากฐานเงินเดือน 175 ยูโรกับส่วนของนายจ้างที่ได้เครดิต ซึ่งหากลูกจ้างที่ทำงานชายขอบและขอรับยกเว้นไม่จ่ายเงินสมทบ ก็จะมีเพียงนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสมทบในอัตราคงที่โดยที่ลูกจ้างไม่ต้องสมทบเพิ่มการขอยกเว้นทำได้โดยยื่นคำขอต่อนายจ้างและนายจ้างจะส่งต่อให้กองทุนประกันบำนาญ
การขอยกเว้นจะกระทบต่อจำนวนเงินบำนาญซึ่งจะน้อยลงกว่าการประกันตนภาคบังคับและสิทธิที่จะได้ช่วงเวลาสะสมเพิ่มในการจ้างงาน และสิทธิที่จะรับบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง
ความสัมพันธ์ในการจ้างงาน
หากทำงานชายขอบหรือทำงานระยะสั้นหลายอย่าง ก็จะรวมงานเหล่านี้เข้าด้วยกัน ซึ่งหากมากกว่าระดับที่จะได้รับการยกเว้น ก็จะต้องทำประกันคุ้มครองภาคบังคับให้ครอบคลุมทุกด้านและไม่มีสิทธิที่จะขอรับยกเว้นไม่ทำประกันบำนาญตามกฎหมาย หากเป็นผู้ทำงานชายขอบมากกว่าหนึ่งอย่าง และงานหลักก็จะต้องจ่ายเงินสมทบตามกฎหมาย
หากมีงานชายขอบถาวรหนึ่งงานนอกจากงานหลักที่จ่ายเงินสมทบภาคบังคับแล้ว จะไม่รวมสองงานเข้าด้วยกันเพื่อให้งานชายขอบต้องจ่ายเงินสมทบ หากยังมีงานชายขอบอื่นๆ ก็จะนำมานับรวมกับงานหลักซึ่งมีการจ่ายเงินสมทบทำให้ต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมเต็มจำนวน (ยกเว้นประกันการว่างงาน) แต่จะไม่นับการทำงานระยะสั้นและการทำงานชายขอบถาวรเข้าด้วยกัน และจะไม่นับการทำงานระยะสั้นรวมกับงานหลักซึ่งต้องจ่ายเงินสมทบด้วยเช่นกัน
สำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้ฝึกอบรมและคนพิการซึ่งต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมภาคบังคับหากจะเข้าข่ายผู้ทำงานชายขอบก็จะมีกฏพิเศษต่างหาก
กองทุนประกันสุขภาพในท้องถิ่นจะประเมินความคุ้มครองการประกันสังคมเป็นรายไป และสำหรับลูกจ้างชายขอบก็จะประเมินโดยกองทุน Deutsche Rentenversicherung Knappschaft-Bahn-See ซึ่งเป็นหน่วยเก็บเงินกลาง โดยมีสำนักงานประกันสังคมอื่นต่าง ๆ เป็นผู้ให้ข้อมูลและคำแนะนำปรึกษา
การจ่ายเงินเงินสมทบด้วยความสมัครใจ
หากมิได้เป็นผู้ต้องประกันตนภาคบังคับ ก็สามารถจ่ายเงินสมทบตามความสมัครใจให้กับกองทุนประกันบำนาญได้ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้จ้างงานตนเองและแม่บ้าน
การฟื้นฟู
กฎหมายบำนาญเยอรมันจะเน้นการฟื้นฟูก่อนจ่ายเงินบำนาญ ซึ่งกองทุนประกันบำนาญจะตรวจสอบใบสมัครขอรับบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง เพื่อตัดสินว่าจะเลือกฟื้นฟูได้หรือไม่เพื่อลดความจำเป็นในการจ่ายบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง
ผู้ใดสามารถขอรับบำนาญ
ผู้มีสิทธิขอรับบำนาญต้องเป็นผู้จ่ายเงินสมทบและมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนด โดยบำนาญจะแบ่งเป็น
- บำนาญผู้สูงอายุ
- บำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง
- บำนาญผู้อยู่ในอุปการะ (บำนาญกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย)
ระยะเวลาที่จะสามารถขอรับบำนาญ
ผู้ประกันตนจะขอรับบำนาญได้ก็ต่อเมื่อได้ทำประกันจนครบระยะขั้นต่ำซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติครบตามระยะที่กำหนด โดยทั่วไประยะเวลามาตรฐานที่ขอรับบำนาญได้คือ 1) ครบ 5 ปีซึ่งจะรวมเวลาที่จ่ายเงินสมทบและเวลาที่ได้เครดิตว่าได้จ่ายเงินสมทบ ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการขอรับบำนาญผู้สูงอายุมาตรฐาน บำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง และบำนาญผู้อยู่ในอุปการะ 2) ครบ 15 ปีสำหรับการขอรับบำนาญผู้สูงอายุเพราะเหตุว่างงาน หรือการเกษียณบางส่วน หรือบำนาญผู้สูงอายุสำหรับสตรี โดยจะรวมเวลาที่จ่ายเงินสมทบและเวลาที่ได้เครดิตว่าได้จ่ายเงินสมทบ 3) ครบ 35 ปีสำหรับบำนาญผู้ทำงานนานหรือบำนาญสำหรับความพิการรุนแรง โดยสามารถนำระยะเวลาที่ได้รับการยกเว้นและระยะเวลาที่ต้องเลี้ยงดูบุตรมารวมด้วย 4) ครบ 45 ปี สำหรับบำนาญผู้ทำงานนานเป็นพิเศษ โดยสามารถรวมเวลาจ่ายเงินสมทบขณะทำงานเพื่อการประกันตน เวลาที่จ้างงานตนเอง เวลาที่ทำการดูแลระยะยาว และเวลาที่ต้องเลี้ยงดูบุตรต่างนำมารวมด้วย และเพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อประวัติการจ้างงานของผู้ประกันตน ก็จะนำเวลาที่ว่างงานมารวมด้วย แต่จะไม่รวมระยะเวลาที่ว่างงานถาวรหรือว่างงานระยะยาว (ช่วงเวลาที่รับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน II หรือความช่วยเหลือกรณีว่างงาน)
การมีคุณสมบัติก่อนครบกำหนด
ตามระเบียบ ผู้ประกันตนต้องส่งเงินสมทบครบห้าปีจึงจะมีสิทธิรับบำนาญความสามารถในการหารายได้ลดลงหรือขอรับบำนาญสำหรับทายาทในอุปการะ อย่างไรก็ตามอาจขอรับบำนาญเหล่านี้ได้ก่อนครบกำหนดหากเหตุที่ความสามารถในการหารายได้ลดลง หรือความตายนั้นเกิดจากการทำงานหรือได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติหน้าที่ทางทหารหรือพลเรือน หากผู้ประกันตนมีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงอย่างสิ้นเชิง หรือตายภายในหกปีนับตั้งแต่สำเร็จการศึกษาหรือการฝึกอบรม ผู้ประกันตนหรือทายาทในอุปการะจะมีสิทธิได้รับบำนาญหากได้มีการจ่ายเงินสมทบไปแล้วอย่างน้อยที่สุดสองปีก่อนการสูญเสียความสามารถหรือถึงแก่ความตาย โดยจะขยายระยะเวลาช่วงสองปีนี้ได้สูงสุดถึงเจ็ดปีโดยรวมช่วงที่เข้ารับการศึกษาภายหลังอายุ 17 ปีด้วย
บำนาญผู้สูงอายุ
ผู้ประกันตนเท่านั้นที่จะสามารถรับบำนาญผู้สูงอายุได้ โดยจะต้องมีอายุตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของบำนาญและคุณสมบัติที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนด
บำนาญหลังอายุ 67 ปี
เพื่อปรับอายุเกษียณให้สอดคล้องกับอัตราการเปลี่ยนแปลงประชากรและทำให้ระบบประกันบำนาญตามกฎหมายมีเศรษฐกิจที่มั่นคง จึงได้มีการเพิ่มอายุขั้นต่ำของการเกษียณอายุมาตรฐานระหว่างปี 2555-2572 ทีละน้อยจาก 65 ปี เป็น 67 ปี และเพิ่มอายุขั้นต่ำสำหรับบำนาญประเภทอื่นขึ้นตามลำดับ โดยกำหนดอายุเกษียณขั้นต่ำที่กำหนดในไว้ปี 2550 จะเริ่มใช้ในปี 2555 และเป็นการดำเนินการตามระยะที่กำหนด ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างมีเวลาวางแผนได้อย่างเหมาะสม
การปรับข้างต้นทำให้ผู้ที่เกิดในปีหรือก่อนปี 2457 ซึ่งได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการเกษียณบางส่วนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2550 สามารถวางแผนด้านประกันสังคมของตนได้ และได้มีการแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองลูกจ้างใน Book VI ของ Social Code เพื่อประกันว่าลูกจ้างที่สัญญาจ้างครบกำหนดในวันที่มีสิทธิขอรับบำนาญผู้สูงอายุก่อนกำหนดวันเกษียณตามกฎหมายจะยังสามารถทำงานต่อไปได้จนกว่าจะมีอายุเกษียณตามกฎหมายที่สอดคล้องกับผู้ประกันตนตามแผนเกษียณอายุที่เพิ่มเป็น 67 ปี
1. บำนาญผ้สูงอายุแบบมาตรฐาน
ผู้ประกันตนสามารถขอรับบำนาญนี้ได้หากมีอายุครบวัยเกษียณและได้ทำงานครบ 5 ปีตามที่กำหนด และไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนเงินได้เพิ่มเติมจากบำนาญผู้สูงอายุแบบมาตรฐาน ได้มีการเพิ่มอายุวัยเกษียณซึ่งสามารถขอรับบำนาญมาตรฐานขึ้นทีละน้อยเป็น 67 ปีสำหรับผู้ที่เกิดในหรือภายหลังปี 2490 โดยเพิ่มอายุเกษียณหนึ่งเดือนต่อปีเกิด (วัยเกษียณมาตรฐานจาก 65 เป็น 66 ปี) และต่อจากนั้นจะเพิ่มอายุสองเดือนต่อปีเกิดสำหรับผู้ที่เกิดในปี 2502 หรือหลังจากนั้น (วัยเกษียณมาตรฐานจาก 66 ปีเป็น 67 ปี) โดยผู้เกิดก่อนปี 2490 จะยังคงมีวัยเกษียณมาตรฐานที่อายุ 65 ปี ส่วนวัยเกษียณมาตรฐานที่อายุ 67 ปีนั้นจะใช้กับผู้ที่เกิดตั้งแต่ปี 2507 เป็นต้นไป
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่เกิดในปี 2493 จะครบวัยเกษียณมาตรฐานในปี 2558 คืออายุ 65 ปี 4 เดือน
2. บำนาญสำหรับการทำงานนานพิเศษ
เป็นบำนาญสำหรับผู้มีประวัติประกันตนนานเป็นพิเศษ โดยสามารถขอรับบำนาญทำงานนานพิเศษได้เต็มจำนวนเมื่อมีอายุ 65 ปี หากได้จ่ายเงินสมทบภาคบังคับมาแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 45 ปี ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสมทบจากการทำงานที่ต้องส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคม การจ้างงานตนเอง การดูแลระยะยาว หรือระยะเวลาที่ต้องดูแลบุตรจนกระทั่งบุตรมีอายุครบ 10 ปี กฎหมายเพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของการประกันบำนาญ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2557 ได้ขยายระยะบำนาญผู้สูงอายุออกไปชั่วคราว โดยผู้ที่เกิดก่อน 2496 ต้องมีอายุ 63 ปี ส่วนผู้เกิดหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2495 ก็เพิ่มอายุเกษียณทีละน้อยจนถึง 65 ปี โดยจะเพิ่มอายุรุ่นปีละสองเดือน และวัยเกษียณจะเป็น 65 ปีสำหรับผู้เกิดในปี 2507 โดยไม่สามารถขอรับบำนาญก่อนกำหนด หรือได้รับบำนาญลดลงก่อนครบวัยเกษียณ
ผู้ขอรับบำนาญทำงานนานพิเศษต้องถึงวัยเกษียณและจ่ายเงินสมทบครบ 45 ปี ภายหลังการแก้ไขกฏหมายเพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์บำนาญก็จะนับเวลาที่รับสิทธิประโยชน์เมื่อว่างงานและสิทธิประโยชน์ทดแทนรายได้ต่างๆ ตามนโยบายส่งเสริมการมีงานทำ รวมเป็นระยะเวลาที่จะมีคุณสมบัติรับบำนาญนี้ด้วย แต่จะไม่นับรวมเวลาที่ขอรับสิทธิประโยชน์เมื่อว่างงาน II หรือความช่วยเหลือเมื่อว่างงาน อนึ่งการจ่ายเงินสมทบโดยสมัครใจก็ได้รับเครดิตด้วยหากพิสูจน์ได้ว่ามีการจ่ายเงินสมทบภาคบังคับมาเป็นเวลา 18 ปี
3. บำนาญทำงานนาน
ผู้ประกันตนสามารถขอรับสิทธิบำนาญทำงานนานก่อนถึงวัยเกษียณในจำนวนลดลงหาก
- ทำงานจนถึงอายุ 63 ปี
- พ้นระยะเวลาที่กำหนดว่าต้องครบ 35 ปี
ทั้งนี้ได้เพิ่มอายุผู้รับบำนาญผู้สูงอายุแบบเต็มจำนวนขึ้นทีละน้อยสำหรับผู้เกิดในปี 2492 เป็นต้นไปจาก 65 ปีเป็น 67 ปี อายุต่ำสุดที่จะสามารถขอรับบำนาญนั้นจะยังคงอยู่ที่ 63 ปี ผู้ประกันตนที่เกิดก่อน 31 ธันวาคม 2490 อาจขอรับบำนาญในจำนวนที่น้อยลงก่อนอายุครบ 63 ปี โดยได้บำนาญลดลง 0.3 เปอร์เซนต์ต่อเดือนที่ขอเกษียณอายุก่อนกำหนด
4. บำนาญผู้สูงอายุสำหรับผู้ที่มีความพิการรุนแรง
ผู้ประกันตนสามารถขอรับบำนาญนี้ได้โดยไม่ถูกหักลดหาก
- อายุถึงเกณฑ์ที่กำหนด
- ได้รับการรับรองว่ามีความพิการรุนแรง
- ส่งเงินสมทบครบ 35 ปี
ผู้มีความพิการรุนแรง อาจขอเกษียณโดยไม่ถูกลดบำนาญ ซึ่งระเบียบจะเพิ่มอายุเกษียณทีละน้อยจาก 63 ปีเป็น 65 ปีสำหรับผู้ที่เกิดในปี 2495 เป็นต้นไป โดยได้เพิ่มอายุสำหรับผู้ขอเกษียณก่อนกำหนดแบบเงินบำนาญลดลงจาก 60 ปี เป็น 62 ปี และจะลดเงินบำนาญ 0.3 เปอร์เซนต์ต่อแต่ละเดือนที่ขอเกษียณอายุก่อนกำหนด และอาจลดเงินบำนาญได้สูงสุดถึง 10.8 เปอร์เซนต์
นอกจากนั้นยังมีแผนเพื่อความมั่นคงสำหรับ
- ผู้ที่เกิดในปี 2497 หรือก่อนหน้า หากได้ลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการเกษียณอายุก่อนวันที่ 1 มกราคม 2550
- ผู้ที่ได้การรับรองว่ามีความพิการรุนแรงตามมาตรา 2(2) ของ Book IX ของ Social code
กลุ่มข้างต้นจะเกษียณอายุที่ 63 ปี หรือ 60 ปีในกรณีที่ขอเกษียณก่อนอายุ โดยไม่มีการเพิ่มอายุเกษียณแต่อย่างใด
ผู้พิการรุนแรงที่มีอายุ 50 ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 สามารถขอรับบำนาญผู้พิการรุนแรงได้เมื่อมีอายุตั้งแต่ 60 ปีเป็นต้นไป โดยในขณะที่ยื่นขอรับบำนาญนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองว่ามีความพิการรุนแรงตามมาตรา 2 ของ Book IX ของ Social code (SGB IX) หรือมีความพิการในการประกอบอาชีพ หรือไร้ความสามารถที่จะทำงานตามกฎหมาย
ผู้ที่ได้รับการรับรองว่ามีความพิการรุนแรงคือผู้ที่มีความพิการอย่างน้อยที่สุดในระดับ 50 และพำนักในเยอรมนีหรือในอียู โดยสำนักงานชดเชยจะเป็นผู้ประเมินระดับความพิการ อนึ่ง ผู้ไม่พิการรุนแรงก็อาจขอรับบำนาญผู้พิการรุนแรงเช่นกันหากเป็นผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 1 มกราคม 2494 และไม่สามารถประกอบอาชีพหรือไร้ความสามารถที่จะทำงานตามกฎหมายที่ใช้ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2543
5. บำนาญผู้สูงอายุกรณีว่างงานหรือภายหลังเกษียณอายุบางส่วน
ผู้ประกันตนที่เกิดก่อน 1 มกราคม 2495 สามารถขอรับบำนาญผู้สูงอายุแบบไม่เต็มจำนวนได้ในกรณีว่างงานหรือหลังจากการเกษียณอายุบางส่วนหาก
- อายุครบ 63 ปี
- ครบกำหนดสำหรับผู้มีคุณสมบัติซึ่งกำหนดไว้ 15 ปี
- จ่ายเงินสมทบเมื่อทำงานหรือมีประกันบำนาญอย่างน้อยแปดถึงสิบปีก่อนถึงวันเริ่มจ่ายเงินบำนาญ
- เมื่อถึงวันเริ่มจ่ายบำนาญ ได้กลายเป็นผู้ว่างงาน และได้ว่างงานมาแล้วอย่างน้อยที่สุด 52 สัปดาห์นับตั้งแต่มีอายุ 58 ปี 6 เดือน หรือได้เกษียณอายุบางส่วนเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 24 เดือนเมื่อเริ่มจ่ายบำนาญ
อายุขั้นต่ำในการขอรับบำนาญเต็มจำนวนคือ 65 ปี
ต้องมีเอกสารรับรองจากหน่วยจัดหางานเพื่อเป็นเป็นหลักฐานว่าเป็นผู้ว่างงาน จะถือว่าผู้ประกันตนเป็นผู้เกษียณบางส่วนตามกฎหมายว่าด้วยการเกษียณอายุบางส่วน หากเป็นผู้ที่ได้ลดชั่วโมงทำงานของตนลงเหลือครึ่งหนึ่งของที่เคยทำ และไม่ว่าการเกษียณบางส่วนนั้นจะได้รับเงินจากสำนักงานจัดหางานหรือไม่ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิที่จะได้รับบำนาญผู้สูงอายุ
6. บำนาญสำหรับสตรีสูงอายุ
สตรีที่เกิดก่อนปี 2495 สามารถขอรับบำนาญผู้สูงอายุในจำนวนที่หักลดได้หาก
- อายุครบ 60 ปี
- ครบกำหนดสำหรับผู้มีคุณสมบัติซึ่งกำหนดไว้ 15 ปี
- นับตั้งแต่มีอายุ 40 ปีได้จ่ายสมทบภาคบังคับในการจ้างงานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการประกันบำนาญ
อายุเกษียณที่จะได้รับบำนาญเต็มจำนวนตามกฎหมายคือ 65 ปี โดยจำกัดอายุขั้นต่ำที่จะเกษียณก่อนอายุไว้ที่ 60 ปี และ65 ปีสำหรับการเกษียณอายุปกติ และไม่ปรับขึ้นตามอายุเกษียณตามกฎหมายจะถือว่าได้มีการสมทบเงินครบถ้วนในการขอรับบำนาญหากมี
- ช่วงเวลาที่ต้องเลี้ยงดูบุตร
- มีการจ่ายสมทบภาคบังคับเพื่อสิทธิประโยชน์ทดแทนรายได้ (เช่น สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน)
- ได้จ่ายสมทบภาคบังคับแก่ผู้ดูแล
อายุขั้นต่ำในการขอรับบำนาญเต็มจำนวนคือ 65 ปี
บำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหารายได้ลดลง
ผู้ขอรับบำนาญนี้จะต้องจ่ายเงินสมทบในช่วงห้าปีก่อนที่ความสามารถในการหารายได้จะลดลงอย่างน้อยที่สุดสามปีและต้องพ้นช่วงห้าปีที่เป็นช่วงที่มีคุณสมบัติทั่วไป (โดยรวมช่วงที่ได้เครดิตให้เป็นช่วงจ่ายสมทบและช่วงที่เลี้ยงดูบุตร) ยกเว้นแต่การที่ความสามารถในการหารายได้ลดลงนั้นจะเกิดจากสถานการณ์ที่ทำให้ผู้ประกันตนได้รับยกเว้นช่วงเวลาที่มีคุณสมบัติ แต่หากผู้ประกันตนมีคุณสมบัติครบห้าปีก่อนปี 2527 โดยได้เครดิตตามที่กำหนดในแต่ละเดือนนับแต่ปีดังกล่าวจนกระทั่งเริ่มสูญเสียรายได้ ก็จะถือว่าผู้ประกันตนมีคุณสมบัติครบ
ทั้งนี้จะจ่ายบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลงให้ผู้ประกันตนจนกว่าจะถึงวัยเกษียณ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถขอรับบำนาญผู้สูงอายุได้อย่างน้อยที่สุดในจำนวนเท่ากับบำนาญความสามารถในการหารายได้ลดลง
สิทธิประโยชน์ตามบำนาญนี้จะประกอบด้วย
1. บำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหารายได้ลดลงแบบบางส่วน : สำหรับผู้ประกันตนที่มีความสามารถลดลงอันเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพทำให้ไม่อาจทำงานในตลาดแรงงานปกติได้อย่างน้อยที่สุดหกชั่วโมงต่อวันนั้นจะถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงบางส่วน โดยจะจ่ายบำนาญนี้ให้ครึ่งหนึ่งของอัตราบำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหารายได้ลดลงอย่างสิ้นเชิง
2. บำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหารายได้ลดลงแบบเต็มจำนวน : สำหรับผู้ประกันตนที่มีความสามารถลดลงอันเนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพทำให้ไม่อาจทำงานในตลาดแรงงานปกติได้อย่างน้อยที่สุดสามชั่วโมงต่อวันนั้นจะถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงทั้งหมด และสำหรับผู้ประกันตนที่สามารถทำงานได้วันละสามชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแต่ไม่เกินหกชั่วโมงต่อวัน ซึ่งไม่อาจกลับไปทำงานซึ่งจะทำให้ตนได้รับค่าจ้างตามความสามารถที่มี ก็จะได้รับเงินบำนาญนี้เต็มจำนวนซึ่งเท่ากับบำนาญสำหรับผู้มีพิการรุนแรง
3. บำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงแบบบางส่วนสำหรับกรณีประกอบอาชีพไม่ได้ : จะจ่ายให้กับผู้ประกันตนซึ่งเกิดก่อนวันที่ 2 มกราคม 2504 ที่มีปัญหาสุขภาพทำให้ความสามารถในการหาเงินได้ลดลงซึ่งไม่อาจทำงานที่ได้รับค่าจ้างอย่างน้อยที่สุดหกชั่วโมงต่อวัน หรือประกอบอาชีพอื่นได้
4. บำนาญผู้ที่มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงสำหรับผู้พิการ : ผู้ประกันตนที่ถูกจัดให้เป็นผู้ที่ความสามารถลดลงอย่างสิ้นเชิงก่อนครบเวลาห้าปีและไร้ความสามารถมาโดยตลอดก็จะมีสิทธิขอรับบำนาญผู้มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงเต็มจำนวนหลังครบเวลา 20 ปี และผู้ที่ขอจ่ายสมทบด้วยความสมัครใจก็จะสามารถขอรับบำนาญนี้ได้ด้วยเช่นกัน
บำนาญแบบคงที่
โดยปกติแล้วการจ่ายบำนาญสำหรับผู้มีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงจะจ่ายให้แบบคงที่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้หาก
- มีสิทธิได้รับบำนาญไม่ว่าสถานการณ์ตลาดแรงงานจะเป็นเช่นใด
- ไม่อาจจะกลับไปมีความสามารถในการหารายได้ โดยจะถือว่าเข้าข่ายนี้หากได้จ่ายเงินบำนาญแบบคงที่มาเป็นเวลา 9 ปี
รายได้เสริม
บำนาญตามกฎหมายมีเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียไป ดังนั้นรายได้ที่เพิ่มจากบำนาญที่ได้รับไปก่อนหน้าจะถูกจำกัดให้เป็นรายได้เสริมจนกว่าจะถึงอายุขั้นต่ำที่จะรับบำนาญมาตรฐาน ทั้งนี้รายได้เสริมจะรวมเงินได้จากการทำงาน การจ้างงานตนเอง และแหล่งรายได้อื่น แต่ไม่รวมรายได้ที่ผู้ทำหน้าที่ดูแลจะได้รับจากผู้จำเป็นต้องรับการดูแล แต่จำนวนต้องไม่เกินเบี้ยเลี้ยงเพื่อการดูแลที่กำหนด และไม่รวมรายได้ของคนพิการที่พักและทำงานในโรงงาน ในกรณีรับบำนาญเพราะเหตุความสามารถในการหารายได้ลดลง ก็จะนับสิทธิประโยชน์ทดแทนเงินได้รวมเป็นรายได้เสริมด้วย
1. บำนาญสำหรับผู้สูงอายุ
การจำกัดวงเงินเสริมจากบำนาญผู้สูงอายุนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าถึงวัยเกษียณตามกฎหมายแล้วหรือไม่และได้ขอรับบำนาญเต็มจำนวนหรือบางส่วนแล้วหรือไม่
2. บำนาญสำหรับผู้สูงอายุแบบมาตรฐาน
กรณีบำนาญผู้สูงอายุมาตรฐานจะไม่มีการจำกัดวงเงินรายได้เสริม ดังนั้นหากรับบำนาญก่อนถึงวัยเกษียณ เมื่อถึงวัยเกษียณแล้วการจำกัดวงเงินรายได้เสริมจะสิ้นสุดลงทันที
3. บำนาญสำหรับผู้สูงอายุก่อนถึงวัยเกษียณอายุขั้นต่ำ
การจำกัดวงเงินรายได้เสริมจะใช้กับบำนาญสำหรับผู้สูงอายุที่ขอรับก่อนถึงวัยเกษียณตามกฎหมาย โดยหากรับเงินบำนาญเต็มจำนวน ผู้ประกันตนอาจมีรายได้เสริมได้ถึง 450 ยูโรต่อเดือน โดยผู้ประกันตนจะได้รับอนุญาตให้มีรายได้เสริมเกินที่จำกัดเอาไว้ต่อเดือนและมีรายได้เกินวงเงินที่จำกัดรายเดือนสองเท่าได้สองครั้งต่อปี (ตัวอย่างเช่น โบนัสวันหยุดและคริสต์มาส) การมีเงินได้เสริมเกินวงเงินที่จำกัดจะไม่ทำให้สูญเสียเงินบำนาญโดยอัตโนมัติ แต่เงินบำนาญจะกลายเป็นบำนาญบางส่วนโดยมีเงินได้เสริมในวงเงินที่สูงกว่าจะมีการจ่ายบำนาญบางส่วนให้ในจำนวนสองในสาม หรือครึ่งหนึ่ง หรือหนึ่งในสามของเงินบำนาญเต็มจำนวน แล้วแต่ว่าผู้ประกันตนมีเงินได้เสริมเท่าใด และการจะอนุญาตให้มีเงินได้เสริมเท่าใดนั้นก็จะขึ้นกับเงินได้ของผู้ประกันตนในช่วงสามปีตามปฏิทินก่อนขอรับบำนาญผู้สูงอายุ ซึ่งหากไม่มีรายได้หรือมีรายได้ชายขอบในปีก่อนหน้า วงเงินสำหรับรายได้เสริมก็จะจำกัดไว้ที่ 50 เปอร์เซนต์ของเงินได้ต่อหัวเฉลี่ยของเยอรมัน
4. บำนาญสำหรับผู้ที่มีสามารถในการหาเงินได้ลดลง
ผู้รับบำนาญนี้ก็จะสามารถหารายได้เสริมได้ในระดับหนึ่ง โดยหากรับบำนาญนี้เต็มจำนวน ก็สามารถหารายได้เสริมก่อนหักค่าใช้จ่ายได้จนถึงเดือนละ 450 ยูโร โดยอาจให้บำนาญบางส่วนเช่นเดียวกับการให้บำนาญผู้สูงอายุ การจำกัดวงเงินได้เสริมจะขึ้นอยู่กับการจ่ายเงินสมทบในปีที่ผ่านมา และวงเงินที่จำกัดสำหรับรายได้เสริมทั่วไป ซึ่งเป็นวงเงินขั้นต่ำสำหรับผู้รับบำนาญทุกคน โดยจะได้รับอนุญาตให้มีเงินเสริมเกินวงเงินที่จำกัดไว้สองเท่าปีละสองครั้ง (ตัวอย่างเช่นโบนัสวันหยุดและคริสต์มาส)
หากผู้รับบำนาญนี้มีงานทำ ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องแจ้งให้กองทุนบำนาญของตนทราบ และหากการทำงานนั้นเป็นเพราะสุขภาพของผู้รับบำนาญดีขึ้น กองทุนก็จะต้องพิจารณาว่าผู้รับบำนาญยังอยู่ในข่ายที่จะได้รับบำนาญต่อไปหรือไม่ โดยอาจยกเลิกการให้บำนาญนี้ได้
บำนาญทายาท
1. บำนาญสำหรับหญิงชายที่เป็นหม้ายในอุปการะ
ผู้เป็นหม้ายจะได้รับบำนาญตามกฎหมายหากผู้ประกันตนได้ทำงานครบ 5 ปีตามมาตรฐานที่กำหนดและผู้เป็นหม้ายมิได้แต่งงานใหม่นับตั้งแต่ผู้ประกันตนเสียชีวิต โดยจะจ่ายบำนาญให้ได้สูงสุดถึง 55 เปอร์เซนต์ของอัตราบำนาญของผู้ประกันตน (กฎหมายเดิม 60 เปอร์เซนต์ไม่รวมเงินเสริมสำหรับบุตร) หากผู้เป็นหม้ายอายุ 45 ปี หรือมีความสามารถในการหารายได้ลดลง หรือต้องดูแลบุตรอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือดูแลบุตรซึ่งไม่สามารถจะดูแลตนเองได้ทั้งทางร่างกาย สติปัญญาหรือจิตใจ ทั้งนี้จะมีการเพิ่มอายุบำนาญสูงสุดสำหรับผู้เป็นหม้ายซึ่งจำกัดไว้ที่ 45 ปีทีละน้อยจนถึง 47 ปี ซึ่งจะสอดคล้องกับอายุเกษียณตามกฎหมาย แต่ระเบียบในการขอรับบำนาญเพื่อการดูแลบุตรหรือเพราะมีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงนั้นจะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะมีการให้คะแนนเพิ่มสำหรับบำนาญของผู้เป็นหม้าย 3.6360 คะแนนต่อบุตรคนแรกที่ต้องเลี้ยงดู และ 1.818 คะแนนสำหรับบุตรแต่ละคนที่เหลือ แต่หากคุณสมบัติไม่ตรงกับการได้คะแนนเพิ่ม ก็จะจ่ายบำนาญขั้นต่ำแก่ผู้เป็นหม้าย 25 เปอร์เซนต์ของเงินบำนาญเต็มจำนวนของผู้เสียชีวิตเป็นระยะเวลาสูงสุด 24 เดือน (กฎหมายเก่ามิได้กำหนดไว้) และหากผู้เป็นหม้ายมีรายได้ก็จะลดเงินบำนาญนี้ลง อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลในการวางแผนเพื่อความมั่นคง จึงจะยังใช้ระเบียบก่อนหน้านี้กับผู้ที่สมรสก่อนมกราคม 2545 และผู้มีคู่สมรสที่เกิดก่อนวันที่ 2 มกราคม 2505
2. บำนาญสำหรับบุตรกำพร้า
จะให้จนกว่าบุตรกำพร้าของผู้ประกันตนที่เสียชีวิตไปจะมีอายุ 18 ปี และจ่ายให้จนถึงอายุ 27 ปีแก่บุตรกำพร้าที่เรียนในโรงเรียนหรือฝึกอบรมวิชาชีพหรือผู้อยู่ระหว่างช่วงต่อซึ่งไม่เกินสี่เดือน (เช่น ผู้อยู่ระหว่างการฝึกอบรมวิชาชีพและบริการอาสาสมัครของสหพันธ์ฯ) หรือผู้อยู่ระหว่างปีที่ต้องทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคมหรือสภาพแวดล้อม หรือผู้ไม่สามารถช่วยตนเองได้เพราะเหตุพิการทางกาย จิตใจ หรือสติปัญญา โดยบุตรที่สูญเสียทั้งบิดามารดาจะได้รับบำนาญหนึ่งในห้า ส่วนบุตรที่กำพร้าบิดาหรือมารดาจะได้รับบำนาญหนึ่งในสิบของบำนาญของผู้ประกันตนและเงินเสริมสำหรับบุตร และบุตรกำพร้าที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งมีเงินได้เกินจำนวนที่ได้รับยกเว้นก็จะถูกหักลดเงินบำนาญลง
3. เงินบำนาญเพื่อเลี้ยงดูบุตร
เงินสำหรับทายาทอีกส่วนคือเงินบำนาญเพื่อเลี้ยงดูบุตร ซึ่งเป็นแหล่งเงินได้สำหรับผู้ที่หย่าร้างและกำลังเลี้ยงดูบุตร ซึ่งสามารถขอรับเงินส่วนนี้ได้หาก
- สามีหรือภริยาที่หย่าร้างกันไปแล้วเสียชีวิต
- หากกำลังดูแลบุตรของตนเองหรือบุตรจากอดีตสามีหรือภริยา
- ยังไม่ได้สมรสใหม่
- มีคุณสมบัติครบถ้วนก่อนการเสียชีวิตของอดีตคู่สมรส
- จดทะเบียนหย่าตามกฎหมายหลังจากวันที่ 30 มิถุนายน 2520 สำหรับเยอรมันตะวันตก และสำหรับเยอรมันตะวันออก หลัง 31 ธันวาคม 2534
เงินบำนาญแบบนี้จะมีวิธีการคำนวณเช่นเดียวกับบำนาญผู้สูงอายุโดยคำนึงถึงระยะเวลาในการขอรับสิทธิของทายาทและจะถ่ายโอนสิทธิภายหลังการหย่า หากมีรายได้อื่นเกินจากที่ได้รับยกเว้น (สำหรับบำนาญผู้เป็นหม้าย) ก็จะถูกหักลดเงินบำนาญเลี้ยงดูบุตรลง
4. การหักเงินได้
40 เปอร์เซนต์ของรายได้อื่น ๆ (จากการจ้างงาน สิทธิประโยชน์ทดแทน กำไรส่วนเกินทุน) นอกเหนือจากที่ได้รับยกเว้นจะถูกหักจากบำนาญทายาท และระเบียบนี้จะใช้กับผู้ที่จดทะเบียนการครองชีวิตร่วมกัน (civil partnerships) โดยกำหนดจำนวนที่ยกเว้นสำหรับบำนาญผู้เป็นหม้ายและบำนาญในการเลี้ยงดูบุตรไว้ดังนี้
เยอรมันตะวันตก 755.30 ยูโร
เยอรมันตะวันออก 696.70 ยูโร
จำนวนยกเว้นที่เพิ่มให้สำหรับบุตรแต่ละคนที่มีสิทธิได้รับบำนาญบุตรกำพร้า
เยอรมันตะวันตก 160.22 ยูโร
เยอรมันตะวันออก 147.78 ยูโร
จำนวนที่ยกเว้นสำหรับบำนาญบุตรกำพร้าอายุตั้งแต่มี 18 ปี
เยอรมันตะวันตก 503.54 ยูโร
เยอรมันตะวันออก 464.46 ยูโร
5. การแบ่งเงินบำนาญระหว่างคู่สมรส
เพื่อให้สตรีสามารถดูแลตนเองยามสูงอายุได้ดีขึ้น คู่สมรสหนุ่มสาวในปัจจุบันต่างสามารถเลือกที่จะแยกสิทธิในการรับเงินบำนาญที่เกิดขึ้นระหว่างการสมรส กฎหมายเดิมเคยกำหนดให้คู่สมรสและผู้เป็นหม้าย (ต่างฝ่ายต่างมีบำนาญของตนเองขณะยังมีชีวิตอยู่ และเมื่ออีกฝ่ายถึงแก่กรรม คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้รับบำนาญสำหรับผู้เป็นหม้ายเพิ่มเติมจากบำนาญของตน ซึ่งคู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถแจ้งขอให้แบ่งสิทธิประโยชน์บำนาญระหว่างการสมรสให้ทั้งคู่ ส่วนใหญ่มักแบ่งกันคนละห้าสิบ-ห้าสิบเปอร์เซนต์ ซึ่งมีผลในขณะที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ (เมื่อคู่สมรสคนที่สองได้รับบำนาญผู้สูงอายุเต็มจำนวนเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ) การแบ่งบำนาญจะทำให้สตรีมีสิทธิได้รับบำนาญสูงขึ้น ซึ่งจะได้รับการยกเว้นการหักเงินได้ และไม่ถูกริบหากสมรสใหม่ สิทธิในการเลือกแบ่งบำนาญสามารถทำได้โดยคู่สมรสที่ต่างมีเครดิตบำนาญคนละ 25 ปี ผู้จดทะเบียนเป็นคู่ครองต่างก็มีสิทธิเช่นเดียวกัน
วิธีการคำนวณบำนาญ
เวลาในการจ่ายเงินสมทบ
จำนวนบำนาญจะขึ้นกับเงินได้จากการทำงานหรือการจ้างงานตนเองที่ผู้ประกันตนได้จ่ายกับประกันไป โดยรวมช่วงเวลาที่เลี้ยงดูบุตรหรือดูแลสมาชิกที่บ้านซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างด้วย
ช่วงเวลาที่สมทบจะนับที่บำนาญขึ้นอยู่กับว่าได้รับเงินได้รวมต่อปีก่อนหักโดยเปรียบเทียบกับเงินได้เฉลี่ยของผู้ประกันตนทั้งหมด จะใช้กฎพิเศษในกรณีของการฝึกวิชาชีพ การดูแลบุตร การดูแลที่บ้านโดยไม่ได้ค่าจ้าง
ระยะเวลาทดแทน
เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการชดเชยทางสังคมในระบบบำนาญตามกฎหมาย มีเป้าหมายเพื่อป้องกันมิให้คนต้องถูกลงโทษจากการพลาดจ่ายเงินสมทบเนื่องจากสงคราม โดยรวมช่วงของการจำคุกทางการเมืองในยุคเยอรมันตะวันออกด้วย
การให้การดูแลที่บ้าน
นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2538 ได้มีการนับรวมช่วงเวลาที่ให้การดูแลที่บ้านโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (อย่างน้อยที่สุด 14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ให้เป็นเสมือนการสมทบเต็มจำนวนเข้ากองทุนบำนาญตามกฎหมายโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการประกันการดูแลระยะยาว อันทำให้เพิ่มจำนวนบำนาญที่จะจ่ายให้และก่อให้เกิดสิทธิที่จะได้รับบำนาญ การสมทบจะคำนวณจากระดับการดูแลที่ผู้รับการดูแลต้องการและขอบเขตของการดูแลที่บ้าน โดยกองทุนการประกันตนระยะยาวจะจ่ายเงินสมทบตามกฎหมายให้ผู้ทำหน้าที่ดูแลผู้อยู่ในอุปการะที่บ้านโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ทำหน้าที่ดูแลที่บ้านและผู้ทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 30 ชั่วโมงด้วย แต่ผู้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีประกันบำนาญ เช่น ผู้รับเงินบำนาญผู้สูงอายุเต็มจำนวนก็จะไม่ได้เครดิตจากการดูแลที่บ้านว่าเป็นช่วงเวลาจ่ายเงินสมทบประกันบำนาญ
ช่วงการดูแลบุตร
นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2537 ได้มีการเพิ่มระยะเวลาเลี้ยงดูบุตรที่เกิดก่อนปี 2535 จากหนึ่งปีเป็นสองปี (บำนาญสำหรับมารดา) และสำหรับเด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นไประยะเวลาในการดูแลบุตรคือาสามปี
การดูแลบุตรทำให้มีสิทธิรับบำนาญและเพิ่มเงินบำนาญ ซึ่งก็หมายความว่าได้รับเครดิตเพิ่มสำหรับการรับบำนาญสำหรับในช่วงที่ความสามารถในการหารายได้ลดลงและบำนาญผู้สูงอายุ ฉะนั้นเด็กที่เกิดก่อนปี 2535 ผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงดูบุตรห้าคนหรือเลี้ยงดูบุตรสองคนและจ่ายเงินสมทบหนึ่งปีก็จะได้รับบำนาญมาตรฐานสำหรับผู้สูงอายุด้วย และสำหรับการดูแลบุตรที่เกิดตั้งแต่ปี 2535 จำนวนสองคนเป็นต้นไปก็ถือว่ามีระยะเวลาที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับบำนาญดังกล่าว
ช่วงเวลาดูแลบุตรข้างต้นจะได้รับเครดิตว่าเป็นจำนวนในด้านบำนาญ ช่วงเวลาดังกล่าวได้รับเครดิตเสมือนเป็นการสมทบเต็มจำนวนจากที่จ่ายจากเงินได้ และนับแต่ 1 กรกฎาคม 2543 ผู้ที่ดูแลบุตรจะได้ 100 เปอร์เซนต์ของเงินได้เฉลี่ยของผู้ประกันตนทั้งหมด สำหรับปี 2557 ก็จะเท่ากับบำนาญที่จ่ายรายเดือนประมาณ 28 ยูโรในเยอรมันตะวันตกและประมาณ 26 ยูโรในเยอรมันตะวันออกแต่ละปีที่ดูแลเด็ก และยังมีการพิจารณาถึงระยะเวลาต่อการดูแลบุตรด้วย
การคิดเวลาในการเลี้ยงดูบุตร
จะให้เครดิตตั้งแต่วันที่บุตรเกิดไปจนถึงวันที่บุตรอายุครบ 10 ปี จะไม่ส่งผลกระทบตรงต่อบำนาญที่ได้รับและไม่มีผลเหมือนกับระยะเวลาที่มีสิทธิได้รับบำนาญอื่น เวลาที่พิจารณาสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมีความสำคัญเพราะกระทบการเติมเต็มสำหรับช่วงเวลาคุณสมบัติ 45 ปีสำหรับบำนาญบริการระยะยาวพิเศษ และเวลา 35 ปีสำหรับมีสิทธิรับบำนาญผู้สูงอายุ ยกระดับการมีสิทธิสำหรับบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลงและมีผลต่อการประเมินช่วงเวลาที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมด
และจะมีการเพิ่มสิทธิในการรับบำนาญแก่บิดามารดาที่ทำงานในช่วงที่บุตรเกิดจนถึง10 ปี ซึ่งจำเป็นต้องทำงานพาร์ทไทม์เนื่องจากต้องดูแลบุตรจนทำให้มีรายได้ต่ำกว่ารายได้เฉลี่ย โดยตั้งแต่ปี 2535 ได้นับเพิ่มเวลาที่บุคคลมีเงินได้ให้อีก 50 เปอร์เซนต์ซึ่งเพิ่มให้สูงสุดได้ถึง 100 เปอร์เซนต์ของรายได้เฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคน แต่จะต้องมีการจ่ายสมทบเพื่อประกันบำนาญรวมทั้งสิ้น 25 ปี (รวมเวลาที่นับรวมว่าเป็นช่วงเลี้ยงดูบุตรด้วย)
และตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นไป พ่อแม่ที่เลี้ยงดูบุตรอายุต่ำกว่าสิบปีพร้อมกันสองคนขึ้นไปก็จะได้รับเครดิตบำนาญเป็น 0.33 จุดสำหรับปีที่ไม่ได้รับเครดิตว่าเป็นเวลาเลี้ยงดูบุตร ซึ่งจะต้องมีการจ่ายสมทบครบ 25 ปี (รวมเวลาที่เลี้ยงดูบุตรและเวลาที่นับว่าเป็นการเลี้ยงดูบุตร)
ทั้งนี้จะเพิ่มเครดิตการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่วันที่บุตรมีอายุ 4 ปีจนกระทั่งถึง 18 ปีให้กับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูบุตรที่บ้าน โดยประกันการดูแลระยะยาวจะจ่ายสมทบเพิ่มให้ 50 เปอร์เซนต์จนถึงสูงสุด 100 เปอร์เซนต์ของอัตราสมทบที่กำหนดไว้ต่อรายได้เฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นไปเมื่อมีการจ่ายสมทบเงินบำนาญครบ 25 ปี (รวมเวลาที่เลี้ยงดูบุตรและเวลาที่นับว่าเป็นการเลี้ยงดูบุตร)
ช่วงเวลาให้เครดิต
เมื่อผู้ประกันต้นไม่อาจจ่ายเงินสมทบด้วยเหตุสุดวิสัย ก็จะมีการให้เครดิตซึ่งส่วนใหญ่มักรวมช่วงเวลาที่ทำงานไม่ได้หรือช่วงว่างงาน หรือช่วงที่ผู้ประกันตนกำลังอยู่ระหว่างการหาสถานที่ฝึกงานหรืออยู่ระหว่างการเรียนเต็มเวลา ช่วงเวลาที่เรียนเต็มเวลาที่จะนำมารวมนั้นปกติจะให้ได้สูงสุดถึงแปดปีนับตั้งแต่วันเกิดปีที่ 17 เป็นต้นไป
การทดเวลาเพิ่มเติม
จะทดเวลาให้ในกรณีบำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลงและกรณีบำนาญทายาทในอุปการะ ยิ่งอายุผู้ประกันตนในช่วงที่ความสามารถลดลง หรือถึงแก่กรรม นั้นน้อยลงเท่าไร สิทธิที่จะได้บำนาญเพิ่มขึ้นก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น การทดเวลาจะช่วยให้ผู้ประกันตนและทายาทที่ยังอยู่ในอุปการะมีความมั่นคง เพราะจะมีการคำนวณบำนาญให้เสมือนว่าผู้ประกันตนยังคงทำงานและยังจ่ายเงินสมทบหลังจากที่มีความสามารถในการทำงานลดลงหรือถึงแก่กรรม
พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับปรุงสิทธิประโยชน์บำนาญได้เปลี่ยนข้อกำหนดสองประการสำหรับผู้ประกันตนที่ได้บำนาญความสามารถในการหาเงินได้ลดลง ตั้งแต่หรือภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 ประการแรกคือ จะขยายช่วงทดเวลาจากอายุ 60 เป็น 62 ปี และประการที่สองคือ หากการรวมเวลาช่วงสี่ปีสุดท้ายก่อนที่จะมีความสามารถในการหาเงินได้ลดลงส่งผลเสียต่อผู้ประกันตน ก็จะไม่มีการนับรวมให้เป็นช่วงทดเวลา (เช่นในกรณีมีรายได้ลดลงเพราะต้องทำงานพาร์ทไทม์หรือเจ็บป่วยก่อนการจ่ายเงินบำนาญ)
คะแนนขั้นต่ำสำหรับผู้มีเงินได้น้อย
สำหรับผู้จ่ายเงินสมทบต่ำ ก็จะมีการเพิ่มมูลค่าการจ่ายเงินสมทบเต็มจำนวนที่ได้จ่ายไปก่อนปี 2535 ให้ 1.5 คะแนน โดยเพิ่มได้สูงสุดไปจนถึง 75 เปอร์เซนต์ของเงินได้เฉลี่ย แต่การที่จะเข้าข่ายนี้ ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบครบ 35 ปี
การปรับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบตามกฎหมายเพิ่มขึ้นสำหรับบางกรณี
ผู้ที่ฝึกวิชาชีพจะได้รับการทดเวลาที่ฝึกตามจริงให้เป็นช่วงมีเงินได้พื้นฐานขั้นต่ำ และจะได้รับการทดเวลาการจ่ายเงินสมทบได้สูงสุดถึงสามปีสำหรับห้วงเวลาที่ทำงานแบบมีประกันตนเป็นจำนวนสูงสุดได้ถึง 75 เปอร์เซนต์ของเกณฑ์เฉลี่ยเงินได้ของผู้ประกันตนทั้งหมด
การลดเงินสมทบสำหรับผู้ที่พิการ
จะมีฐานการประเมินเงินสมทบขั้นต่ำสำหรับผู้ประกันตนที่เป็นผู้พิการที่ทำงานและพักในโรงงานที่ได้ การรับรองของรัฐและสถาบันในลักษณะเดียวกัน โดยระบุไว้ที่ 80 เปอร์เซนต์ของยอดเงินที่กำหนด ซึ่งจะมี การทบทวนยอดเงินเป็นประจำทุกปี สำหรับปี 2558 ในเขตเยอรมันตะวันตกกำหนดไว้ที่ 2,835 ยูโร และสำหรับเยอรมันตะวันออกกำหนดไว้ที่ 2,415 ยูโร ระหว่างการการจ่ายเงินสมทบในช่วงการเกณฑ์ทหารและทำงานบริการพลเรือน รัฐบาลกลางจะเป็นผู้จ่ายเงินสมทบโดยอิงกับเงินได้สมมุติฐานเท่ากับ 60 เปอร์เซนต์ของยอดเงินที่กำหนด
รูปแบบบำนาญ
บำนาญคือเงินที่จะได้รับซึ่งจะขึ้นอยู่กับการทำประกันเงินได้ด้วยการการเงินจ่ายสมทบตลอดช่วงชีวิตการทำงาน การประกันรายได้จากการทำงานและการจ้างงานตนเองโดยการจ่ายเงินสมทบในแต่ละปีจะถูกแปลงเป็นคะแนนเงินได้ และผู้ประกันตนยังได้รับคะแนนเงินได้แม้ว่าจะไม่มีการจ่ายเงินสมทบ ในอัตราซึ่งขึ้นอยู่กับว่าในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่นั้นจะมีการจ่ายเงินสมทบในจำนวนเท่าใด ปัจจัยว่าด้วยประเภทของบำนาญนั้นจะขึ้นอยู่กับหน้าที่ในการทดแทนเงินได้ของเงินบำนาญซึ่งจะกำหนดจำนวนเงินบำนาญโดยเปรียบเทียบกับบำนาญผู้สูงอายุมาตรฐาน
หากขอรับบำนาญผู้สูงอายุตั้งแต่เนิ่นๆ หรือยังไม่ขอรับสิทธิเมื่อถึงวัยเกษียณ ความสูญเสียที่เกิดจากระยะเวลาที่จ่ายนานกว่าหรือสั้นกว่าจะถูกชดเชยโดยปัจจัยด้านอายุและเพิ่มหรือลดเงินบำนาญ
มูลค่าบำนาญในปัจจุบันคือบำนาณรายเดือนที่ผู้มีเงินได้เฉลี่ยจะได้รับหลังจ่ายเงินสมทบเป็นเวลา 1 ปี ก็เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบบำนาญ
ปัจจัยสามประการที่นำมาพิจารณาจำนวนเงินบำนาญ
P คะแนนที่บุคคลได้ รายได้ที่ทำประกันไว้ (จนถึงระดับที่ประเมินการสมทบจำกัดไว้) ในแต่ละปีตามปฏิทิน หารด้วยเงินได้เฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคน จากนั้นให้รวมงานที่ประกันไว้ของผู้ประกันตน และคูณด้วยปัจจัยด้านอายุ
T ปัจจัยประเภทของบำนาญ เป็นปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับว่าจะให้บำนาญสักเท่าใด
V มูลค่าบำนาญในปัจจุบัน บำนาญรายเดือนที่ผู้มีเงินได้เฉลี่ยทุกคนจะได้รับภายหลังจ่ายเงินสมทบต่อปีปฏิทิน (ปัจจุบัน 28.61 ยูโรในเยอรมนีตะวันตก และ 26.39 ในเยอรมนีตะวันออก)
ฉะนั้นบำนาญรายเดือน= PxTxV
การมีสิทธิทั้งหมด
จะให้เครดิตช่วงที่ไม่ได้จ่ายสมทบ และช่วงที่จ่ายสมทบลดลงในการจ่ายบำนาญ ช่วงที่ไม่ได้จ่ายเงินสมทบจะรวมช่วงที่ได้เครดิต ได้ทดเวลา และช่วงเวลาที่ได้แทนการจ่ายสมทบ ทั้งนี้ ช่วงที่จ่ายสมทบลดลงจะปรากฏเมื่อช่วงเวลาการจ่ายสมทบแบบบังคับ (เช่นช่วงทำงาน) และช่วงไม่จ่ายสมทบ (เช่นช่วงได้เครดิตขณะลาคลอด) นั้นเกิดขึ้นในเดือนเดียวกัน สำหรับช่วงที่ไม่ได้จ่ายเงินสมทบและช่วงจ่ายสมทบลดลง ก็จะคำนวณสิทธิเสมือนเป็นช่วงที่ได้จ่ายเงินสมทบทั้งหมด แม้ว่าประวัติการจ่ายเงินสมทบจะมีช่วงว่างที่ทำให้สิทธิของผู้ประกันตนลดลงก็ตาม แต่ไม่มีผลกระทบใดหากช่วงว่างนั้นรวมช่วงเวลที่ไม่ได้จ่ายเงินสมทบหรือช่วงเวลาของการจ่ายเงินสมทบลดลง และช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นช่วงเลี้ยงดูบุตรจะเพิ่มมูลค่าของช่วงเวลาที่ไม่ได้จ่ายเงินสมทบ และช่วงเวลาที่จ่ายเงินสมทบลดลงด้วย
การปรับเงินบำนาญ
ในเดือนกรกฎาคมของทุกปีจะมีการปรับเงินบำนาญให้สอดคล้องกับค่าเงินบำนาญที่เปลี่ยนแปลงในเยอรมันตะวันออกและตะวันตก การปรับบำนาญรวมจะพิจารณาจากค่าเงินบำนาญในปัจจุบันและปัจจัยอื่นในรูปแบบของบำนาญ
การปรับบำนาญจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการเงินได้ของกำลังแรงงาน โดยดูจากพัฒนาการของเงินได้ของกองทุนบำนาญตามกฎหมายและค่าใช้จ่ายของแรงงานผู้ประกันตนตามกฎหมาย (อัตราการจ่ายเงินสมทบ) และข้อกำหนดบำนาญเอกชน (สัดส่วนของค่าจ้างทั้งหมดที่จ่ายให้กับแผนบำนาญส่วนบุคคล) และปัจจัยยั่งยืนเกี่ยวกับแนวโน้มสัดส่วนของผู้รับบำนาญต่อผู้จ่ายสมทบ หากมีผู้จ่ายสมทบลดลง บำนาญก็จะต่ำลง หากจำนวนผู้จ่ายสมทบเพิ่มก็จะเพิ่มบำนาญให้ตามลำดับ ในส่วนปัจจัยของความยั่งยืนนั้น ผู้จ่ายบำนาญจะร่วมจ่ายภาระที่เพิ่มขึ้นจากการที่คนมีอายุยืนขึ้นและผลกระทบของอัตราการเกิดและแนวโน้มการทำงานในการจ่ายเงินของประกันบำนาญตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตามมีวรรคที่ประกันว่าปัจจัยที่รองรับความเติบโตด้านบำนาญ (ค่าใช้จ่ายบำนาญส่วนบุคคลและปัจจัยด้านความยั่งยืนอื่น) และแนวโน้มเชิงลบต่อค่าจ้างจะไม่ส่งผลให้เงินบำนาญรายเดือนลดลง
ข้อมูลบำนาญ
ภายใต้กฎหมายว่าด้วยเครดิตบำนาญที่ได้รับจากต่างประเทศ จะปฏิบัติต่อผู้ที่จัดอยู่ในประเภทพิเศษ (โดยเฉพาะผู้พลัดถิ่นและผู้อพยพชาติพันธุ์เยอรมนี) เหมือนกับผู้ที่มีชีวิตการทำงานอยู่ในเยอรมนี
องค์กร
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 เป็นต้นมาได้มีการปรับองค์กรการประกันบำนาญ โดยยกเลิกความแตกต่างระหว่างผู้ใช้แรงงานกับผู้ใช้ฝีมือ สถาบันประกันบำนาญแบ่งเป็นสถาบันแห่งสหพันธ์ฯ กับสถาบันแห่งภูมิภาค สถาบันเหล่านี้จะมีคำนำหน้าว่ากองทุนประกันบำนาญแห่งเยอรมนีและต่อท้ายด้วยงานในความรับผิดชอบ สถาบันแห่งสหพันธ์ฯ จะรับผิดชอบหลักด้านเงินเดือน และจะมีสถาบันประกันบำนาญสำหรับแรงงานเหมือง รถไฟ และทางเรือ) ตัวอย่างของสถาบันบำนาญแห่งภูมิภาคได้แก่ สถาบันบำนาญแห่งเยอรมนีแห่งรัฐเวสฟาเลีย ซึ่งจะมีการบอกแจ้งผู้เข้าสู่ระบบบำนาญรายใหม่ๆ ว่าสถาบันใดรับผิดชอบบำนาญของผู้ประกันตนรายนั้น สถาบันประกันบำนาญจะได้รับการกำกับดูแลโดยมลรัฐ
การเงินของกองทุนบำนาญ
เงินบำนาญจะจ่ายจากเงินสมทบเป็นหลัก นายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายเงินสมทบคนละครึ่ง (18.7 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนของลูกจ้างก่อนหักลด ณ วันที่ 1 มกราคม 2558) สำหรับลูกจ้าง เงินที่จะสมทบจะขึ้นกับเงินได้ถูกประเมินให้ต้องจ่ายเงินสมทบซึ่งจำกัดไว้ที่ 6,050 ยูโรในเยอรมันตะวันตก หรือ 5,200 ในเยอรมันตะวันออก และการจ่ายบำนาญจะได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากรัฐด้วย
ที่มา: เรียบเรียงจากคู่มือประกันสังคม Social Security at a Glance 2014 ของกระทรวงแรงงานและกิจการสังคมแห่งสหพันธ์ฯ
—————————————————-
ฝ่ายแรงงานประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน