ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และกลุ่มเครือข่ายหญิงไทยในภาคพื้นยุโรป ได้ร่วมจัดกิจกรรมกระทรวงแรงงานเคลื่อนที่ และประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง จากจินตนาการสู่ปฏิบัติการ เพื่อแรงงานไทยในยุโรป เพื่อความเข้มแข็ง ประสิทธิภาพ และความสำเร็จ ระหว่างวันที่ 30-31 ตุลาคม 2553 ณ อาคารวิลล่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สรุปสาระสำคัญดังนี้
1. ประเด็นแรงงานไทยในยุโรป
1.1 แรงงานไทยในโปแลนด์
แรงงานไทยในโปแลนด์มีหลายประเภท ได้แก่ พ่อครัว/แม่ครัว ผู้ช่วยในครัว นวดแผนไทย/สปา และภาคเกษตร อาทิ ฟาร์มเห็ด ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ ฟาร์มเลี้ยงตัวมิ้งค์ เป็นต้น ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมของแรงงานไทยมาตั้งแต่ปี 2551 ปัญหาที่เกิดกับแรงงานไทยในโปแลนด์ส่วนใหญ่เกิดมาจาก
– แรงงานไทยต้องจ่ายค่านายหน้าให้ตัวแทนบริษัทจัดหางานเป็นจำนวนเงินสูงมาก (2-3 แสนบาทต่อหัว)
– ตัวแทนบริษัทจัดหางานโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง และแรงงานไทยส่วนมากจะเชื่อถือคำโฆษณามากว่าสิ่งที่ระบุในสัญญาจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าจ้าง
– นายจ้างบังคับทำสัญญาซ้ำซ้อน กดค่าแรงและสวัสดิการ หรือไม่ทำตามสัญญาจ้าง
– แรงงานไม่ได้รับการอบรม/ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับประเทศที่จะเดินทางไป
– แรงงานไทยมักไม่ค่อยใส่ใจรายงานตัวต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว ทำให้สถานเอกอัครราชทูตไม่มีข้อมูลคนงานนั้น ๆ ทำให้ติดต่อกันไม่ได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหา เกิดความล่าช้าในการช่วยเหลือ
– แรงงานไทยจำนวนไม่น้อยทำตัวไม่ดี ทำให้มีปัญหาทั้งกับนายจ้างและเพื่อนร่วมงานด้วยกันเอง เช่น ดื่มเหล้า ทะเลาเบาะแว้ง
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาหรือลดปัญหาที่เกิดขึ้น
1. หามาตรการกำจัด/ลดภาระการจ่ายค่านายหน้าแพงเกินกำหนดของคนงาน
2. หามาตรการป้องกันการทำสัญญาจ้างซ้ำซ้อนโดยเฉพาะสัญญาซ้อนที่ทำในประเทศไทย
3. ประชาสัมพันธ์ให้ผู้จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศทราบข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับปัญหาที่จะเดินทางไปทำงาน
4. ประชาสัมพันธ์ให้แรงงานไทยทราบว่า หากมีปัญหา คำถามหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดขอให้ติดต่อสอบถามและแจ้งให้ฝ่ายแรงงานฯ หรือสถานเอกอัครราชทูตในประเทศนั้น เพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้เอง เช่น ดื่มเหล้า ทะเลาะเบาะแว้ง
1.2 แรงงานไทยในฝรั่งเศส
ปัญหาแรงงานไทยในฝรั่งเศสจะเป็นปัญหาของแรงงานที่เข้ามาพำนักและทำงานอยู่ในฝรั่งเศสเป็นระยะเวลานาน โดยไม่มีใบอนุญาตหรือมีแต่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (แรงงานมืด) แรงงานเหล่านี้มีประมาณ 300 คน มีความต้องการที่จะได้บัตรประจำตัว โดยยกกรณีตัวอย่างที่พบและอยู่ระหว่างดำเนินการขณะนี้ คือ (Titre de sejour) เพื่อที่จะสามารถอยู่และทำงานในฝรั่งเศสได้อย่างถูกต้อง โดยสหภาพแรงงานของฝรั่งเศส (CGT) จะเป็นผู้ผลักดันและเรียกร้องรัฐบาลให้เปลี่ยนกฎหมายให้แรงงานต่างชาติซึ่งมีจากหลายประเทศจำนวนประมาณ 1,800 คน ได้รับบัตรประจำตัวและสิทธิในการพำนักในฝรั่งเศส แรงงานไทยส่วนมากทำงานเย็บผ้า งานบ้าน ดูแลเด็กและคนชรา งานร้านอาหารและก่อสร้างหลายรายได้ค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐานค่าแรงงานขั้นต่ำ คือ ได้ 4 ยูโรต่อชั่วโมง ในขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำคือ 8 ยูโรต่อชั่วโมง
ปัญหาใหญ่อีกปัญหาที่พบในแรงงานไทย คือ การไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส แรงงานไทยต้องเสียเงินจ้างคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้ให้พาไปทำธุระหรืออ่านเอกสารสำคัญที่เป็นภาษาฝรั่งเศส ชมรมสตรีไทยในฝรั่งเศสจึงได้พยายามให้ความรู้แก่แรงงานไทยเหล่านี้ ด้วยการจัดการสอนภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งภาษาไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีการสอนการแกะสลัก การประกอบอาหาร โดยวิทยากรที่มาจากการศึกษานอกโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ
1.3 ปัญหาแรงงานในอิตาลี กรณีศึกษาแรงงานนวด/สปา
แรงงานไทยที่เข้ามาทำงานในอิตาลีมีหลายประเภท แรงงานชายส่วนใหญ่จะทำงานในอุตสาหกรรมหนัก เช่น ถลุงเหล็ก ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งมีแรงงานไทยอยู่เกือบ 100 คน ส่วนแรงงานหญิงส่วนใหญ่จะเข้ามาประกอบอาชีพนวด/สปา ปัญหาด้านแรงงานที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการไม่รู้ภาษาอิตาเลี่ยน ทำให้แรงงานไทยไม่เข้าใจเกี่ยวกับสัญญาจ้าง และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำงาน เพราะสัญญาจ้างงานจะเป็นภาษาอิตาเลี่ยน สหภาพแรงงานอิตาลีก็ยืนยันว่า สัญญาจ้างงานที่ถูกต้องจะต้องเป็นภาษาอิตาเลี่ยน เมื่อมีเหตุข้อพิพาทขัดแย้ง จะไม่สามารถฟ้องร้องด้วยสัญญาภาษาอื่นได้ ส่วนอีก
ปัญหาที่แรงงานไทยในสาขานวด/สปา ประกอบคือ การไม่ยอมรับหลักสูตรการนวดแผนไทยในอิตาลี การเปิดร้านนวด/สปาในอิตาลีจะต้องเปิดในสาขาการเสริมสวย ไม่สามารถเปิดเป็นร้านนวดไทยโดยตรงได้ เพราะการจดทะเบียนต้องมีใบอนุญาตและหลักฐานด้านการแพทย์มาประกอบใบประกาศนียบัตรที่ได้รับมาจากประเทศไทยไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศอิตาลี ยกเว้นบางประเภทเท่านั้น เช่น ใบประกาศนียบัตรจากวัดโพธิ์ ใบประกาศนียบัตรจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ใบประกาศนียบัตรจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศอิตาลี(ความเห็นของวิทยากร) นอกจากนี้ปัญหาการนวดแอบแฝง การขายบริการ ทางเพศ ก็เป็นอีกปัญหาสำคัญในอิตาลีที่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อการนวด/สปาไทย โดยเฉพาะร้านนวดที่ดำเนินกิจการโดยคนจีนที่ใช้ชื่อการนวดไทยมักจะประกอบกิจการขายบริการทางเพศควบคู่ไปด้วย
1.4 ปัญหาแรงงานไทยในสวิตเซอร์แลนด์ กรณีศึกษาแรงงานไทยในสวิตเซอร์แลนด์จาก (ศูนย์ฟิซ FIZ ) ศูนย์คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่สตรีชาวต่างชาติ เมืองซูริค เป็นกรณีแรงงานด้านสปาและงานศิลปินคาบาเร่ต์ งานด้านสปานั้นแรงงานประสบปัญหาการทำสัญญา 2 ฉบับ คือ ฉบับทางการที่ใช้ในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อเข้าเมืองและสัญญาฉบับที่สองทำให้แรงงานไทยได้ค่าจ้างและสวัสดิการต่าง ๆ ลดลง เมื่อเดินทางมาถึงแล้วก็ต้องทำงานและได้รับการปฏิบัติหลายอย่างที่ไม่ตรงกับสัญญาฉบับที่สองอีก รวมทั้งกฎระเบียบต่าง ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนงานศิลปินคาบาเร่ต์ เป็นลักษณะสัญญาจ้างที่มีอายุสั้นเพียงเดือนหรือสองเดือนแล้วย้ายที่ทำงานไปเรื่อย ๆ ตามเมืองต่าง ๆ ทำให้การติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก อีกทั้งกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย นอกจากนี้ปัญหาด้านการจ่ายค่านายหน้า และต้องการทำงานต่อไปในต่างประเทศ เพื่อใช้หนี้และเก็บเงิน ทำให้ต้องทนหรือถูกบังคับให้หาทางให้ลูกค้าซื้อเครื่องดื่มฮัลกอฮอลล์เพื่อได้ค่าคอมมิชชั่น ต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวกับลูกค้า (เกิดปัญหาสุขภาพ) และขายบริการทางเพศในที่สุด เป็นปัญหาที่หญิงไทยและชายประเภทสองซึ่งมาทำงานด้านศิลปินคาบาเร่ต์ ต้องประสบ
2. ประเด็นปัญหาแรงงานกับการค้ามนุษย์
2.1 กรณีศึกษาแรงงานไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีจากมูลนิธิบ้านหญิง ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ แรงงานไทย และแนวทางในการแก้ไขปัญหาว่า ในปัจจุบันสหพันธ์ฯ มีกฎหมายอาญาที่ให้คำนิยามเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไว้ใน 3 มาตรา คือ มาตรา 232 การค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ มาตรา 233 การค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน และมาตรา 233 a การสนับสนุนส่งเสริมการค้ามนุษย์ การให้ความช่วยเหลือของมูลนิธิบ้านหญิงจะต้องดูว่าแรงงานนั้นเป็นการค้ามนุษย์หรือไม่ การค้าประเวณีไม่จำเป็นจะต้องเป็นการค้ามนุษย์ด้วยเสมอไป การค้ามนุษย์จะต้องมีการบังคับหรือองค์ประกอบอื่น ๆ อาทิ การกักขัง การแสวงหาประโยชน์ด้วย ส่วนการค้าประเวณีนั้นเป็นอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายในสหพันธ์ฯ และถือเป็นอาชีพอิสระ ผู้ประกอบอาชีพต้องจ่ายค่าประกันต่าง ๆ ด้วยตนเอง
รวมทั้งคำนวณเงินรายได้ด้วยตนเองเพื่อแจ้งให้หน่วยงานภาษีทราบและจ่ายภาษีทราบและจ่ายภาษีตามนั้น ส่วนปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นกับแรงงานไทยที่ประกอบอาชีพค้าประเวณีนั้น มักจะเป็นปัญหาในเรื่องภาษี เช่น แรงงานไทยที่ค้าประเวณีหลายรายจะไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ถูกต้อง เนื่องจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจในลักษณะอาชีพและระบบการเสียภาษีของสาขาอาชีพนี้ ปัจจุบันนี้นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขและการตรวจคนเข้าเมืองจะเข้าตรวจตามสถานประกอบการค้าแล้วยังมีเจ้าหน้าที่สรรพกรมาตรวจสอบหลักฐานการเสียภาษีว่า ถูกต้องหรือไม่ด้วย
ประเด็นด้านการค้ามนุษย์นั้น มูลนิธิบ้านหญิงได้ติดต่อประสานงานทั้งกับหน่วยงานท้องถิ่นของสหพันธ์ฯ อาทิ กองตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจ ทนายความต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือรักษา ฟ้องร้อง ออกวีซ่าและดำเนินการส่งตัวกลับประเทศไทย หากบุคคลนั้นประสงค์จะกลับประเทศไทย ในขณะเดียวกันกับมูลนิธิบ้านหญิงก็ดำเนินการติดต่อกับหน่วยงานในประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ต่อไปเมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว คือ มูลนิธิผู้หญิง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ปัญหาที่เกิดขึ้นในการประสานงานกับหน่วยงานราชการของไทย คือ การช่วยเหลือและการตัดสินใจของหน่วยงานราชการไทยค่อนข้างช้า และการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ถูกค้ามนุษย์ยังมีอยู่จำกัด เพราะไม่มีหน่วยงานใดที่มีความชำนาญพิเศษในด้านกฎหมายในการให้ความช่วยเหลือที่ครอบคลุมและติดตามกระบวนการทางศาลได้ มูลนิธิบ้านหญิงได้มีข้อเสนอแนะว่า ความช่วยเหลือทางกฎหมายยังต้องมีการเสริมสร้างให้เข้มแข็งต่อไป เพื่อที่จะสามารถดำเนินคดีกับนักค้ามนุษย์และคุ้มครองสิทธิของผู้ย้ายถิ่นที่ถูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความช่วยเหลือแรงงานในต่างแดนยังมีความจำเป็นที่จะต้องแสวงหาความร่วมมือกับสหภาพแรงงาน และองค์กรที่ทำงานเรื่องแรงงานย้ายถิ่น นอกจากนี้ควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ และเจ้าหน้าที่ที่ให้คำปรึกษาแนะนำก็ควรได้รับการอบรมอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน
2.2 แรงงานไทยในสวิสเซอร์แลนด์กรณีศึกษาจาก ILO ผู้แทนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้กล่าวถึง ประเด็นการค้ามนุษย์กับการค้าประเวณีว่า ความต้องการ (Demand) ก่อให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ (Exploitation) ไม่ว่าการเอาเปรียบนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกับการค้ามนุษย์หรือไม่ก็ตาม และไม่จำเป็นว่า ความต้องการจะนำไปสู่การค้ามนุษย์เสมอไป แต่เป็นเพราะการเอาเปรียบที่มีความต้องการหนุนอยู่นั่นเองที่จะนำไปสู่การค้ามนุษย์ การค้าประเวณีกับการละเมิดกฎหมายนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศที่มีกฎหมายแตกต่างกันไป ได้แก่ ในสวีเดน ผู้ซื้อบริการต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เพราะถือเป็นความรุนแรงทางเพศต่อสตรี ในสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีการเอาผิดผู้ซื้อบริการทางเพศ ยกเว้นจะเป็นกรณีทำร้ายร่างกายหรือละเมิดด้านอื่น ๆ ในสวิตเซอร์แลนด์จะแบ่งกลุ่มผู้ค้าบริการทางเพศไว้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่มีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย สามารถกำหนดเวลาทำงาน ชั่วโมงทำงาน ส่วนใหญ่เป็นชาวสวิส และผู้ที่มีใบอนุญาตในการพำนักแบบ B และ C
2. กลุ่มรับเงินแลกบริการ เป็นกลุ่มสำคัญ และเป็นกลุ่มใหญ่ประกอบด้วย คนงานด้านบันเทิงที่รับแขกเป็นรายได้เสริม เช่น นักเต้นคาบาเรต์ บาร์เทนเดอร์ในคลับอีโรติก มีใบอนุญาตพำนักแบบ L การค้าบริการนี้ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่มักไม่เอาผิด
3. กลุ่มผิดกฎหมายหลบซ่อน มักไม่ใช่ชาวยุโรป เข้าเมืองโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยวแล้วแอบทำงาน มักเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ อยู่ภายใต้การควบคุม คาดว่าจะมีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ค้าบริการทางเพศ
ในขณะนี้มีการขัดแย้งกันระหว่างกฎหมายภายในของสวิตเซอร์แลนด์เกี่ยวกับการค้าประเวณี กับกฎหมายสากล คือ อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 182 ว่าด้วยการค้าประเวณีเด็ก (ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี) สวิตเซอร์แลนด์ให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ นี้ แต่ยังอนุญาตให้เด็กอายุเกินกว่า 16 ปีค้าประเวณีได้ ซึ่งคาดว่าจะต้องมีการปรับแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ นี้ต่อไป
3. แรงงานไทย : งานแม่บ้าน
งานด้านแม่บ้านเป็นอาชีพหนึ่งที่แรงงานต่างชาติจำนวนมากประกอบเป็นอาชีพเมื่อเข้ามาทำงานในยุโรป โดยเฉพาะแรงงานจากประเทศฟิลิปปินส์ แรงงานฟิลิปปินส์มีความพร้อมมาก มีการรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็ง และได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงแรงงานฟิลิปปินส์อย่างดี ในขณะที่แรงงานไทยที่เข้ามาส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภาษาท้องถิ่นของประเทศที่จะเข้าไปทำงาน ทำให้แรงงานไทยประสบปัญหาหลายอย่างเมื่อเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศเหล่านี้แล้ว ดังนั้นที่ประชุมมีความเห็นอยากให้หน่วยงานในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ ให้เพิ่มความสำคัญในการอบรมให้ความรู้แก่แรงงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศให้มากขึ้น ในปัจจุบันมีหลายประเทศในยุโรปที่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ทำงานเป็นแม่บ้านโดยเฉพาะ ได้แก่ อิตาลี ฝรั่งเศส และฮอลแลนด์ กฎหมายนี้จะให้ความคุ้มครองแม่บ้านในเรื่องต่าง ๆ อาทิ ค่าจ้าง สิทธิมนุษยชน สวัสดิการ เป็นต้น
4. ข้อเสนอแนะและแนวทางในการแก้ปัญหาแรงงานไทยในยุโรป
1. ปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้ภาษา การไม่เข้าใจในวัฒนธรรมความเป็นอยู่ การจ่ายค่านายหน้าเป็นจำนวนมาก เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นเป็นประจำมาเป็นเวลานาน การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เป็นการแก้ปัญหาในต่างประเทศ ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาในระยะยาวควรเริ่มต้นที่ประเทศไทย โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ ที่จะร่วมกันหาแนวทางแก้ไขและป้องกันปัญหาตั้งแต่จุดเริ่มต้น
2. ปัญหาด้านทัศนคติ ค่านิยม และวัฒนธรรมของแรงงานไทย แรงงานไทยจำนวนมากไม่คิดที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิประโยชน์ของตนเองเมื่อถูกเอาเปรียบไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ไม่อยากที่จะดำเนินการฟ้องร้องสู้คดี เมื่อได้รับค่าชดเชยหรือค่าจ้างคืนแล้วก็ไม่อยากที่จะดำเนินการอะไรต่อไป ทำให้ผู้ที่เอาเปรียบไม่เกรงกลัวและก่อให้เกิดการทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
3.ควรมีการจัดทำการอบรม หรือแนวทางการปฏิบัติตนสำหรับแรงงานที่จะออกไปทำงานในต่างประเทศ โดยให้ความรู้ที่จำเป็นทั้งด้านภาษา วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของแต่ละประเทศให้แรงงานทราบและคุ้นเคยก่อนออกเดินทาง
4. การให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ประสบปัญหานั้น ควรให้ความช่วยเหลือด้านจิตบำบัดด้วย แม้ว่าจะดำเนินการส่งตัวกลับ ฟ้องร้องแล้วหรือได้รับค่าชดเชยแล้ว การฟื้นฟูสภาพจิตใจก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแรงงานในการสร้างความเข้มแข็งและความพร้อมในการเข้าสู่สังคมและการทำงานในอนาคต
5. หน่วยงานของไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ควรมีนโยบายในการทำงานที่ต่อเนื่องและยึดหลักปฏิบัติสากล คือไม่ว่าจะเปลี่ยนหรือมีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ในต่างประเทศ นโยบายและหลักการปฏิบัติงานก็ควรจะเป็นไปในแนวทางเดิม และควรให้เป็นมาตรฐานในทุกประเทศทั่วโลกด้วย
————————————
ฝ่ายแรงงาน ประจำ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน
พฤศจิกายน 2553